Latest News

COPs ไวรัสคอมพิวเตอร์

Posted by KM IT วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553, under | 0 ความคิดเห็น
COPs ไวรัสคอมพิวเตอร์

เป้าหมาย/Desired state ป้องกันไวรัสรบกวนการทำงานของคอมพิวเตอร์
ประเด็นสำคัญ (context) วิธีการป้องกันและจัดการไวรัสคอมพิวเตอร์


ประเด็นหลัก/หลักการสำคัญ


เรื่องเล่า/ตัวอย่างประสบการณ์
แหล่งข้อมูล/บุคคล



อัพเดทโปรแกรมป้องกันไวรัสอยู่เสมอ
บางครั้งคนส่วนใหญ่มีโปรแกรมป้องกันไวรัสใน คอมพิวเตอร์ของตนเอง แต่ไม่ได้ทำการอัพเดท เข้าใจผิดว่าใช้งานได้ ดังนั้นเราควรทำการอัพเดทโปรแกรมอยู่เสมอ

นายเอกพันธ์ หมื่นแกว้น


สแกนไวรัสเป็นประจำ
บางครั้งเราอาจจะไม่ค่อยได้ สแกนไวรัสบ่อยครั้งมักจนทำให้คอมพิวเตอร์ ของเราได้รับไวรัสมาจาก Handy Drive อย่างมาก และสะสมรวมกันมาเรื่อย จากน้อยกลายเป็นมาก จนทำให้คอมพิวเตอร์เกิดมีปัญหาหนัก อาจทำให้คอมพิวเตอร์เสียได้
นายอรรถพล เทียนงามสัจ

ทำความรู้จักกับไวรัสใหม่ ๆ และวิธีป้องกันไวรัสและแก้ไข
ในบางครั้งเราอาจจะมีทั้งแอนตี้ไวรัสดี ๆ อัพเดทอยู่บ่อย ๆ อยู่ล้วแต่ไวรัสใหม่ ๆ อาจจะเลี่ยงจากการตรวจจับงานสแกนไวรัสได้ ดังนั้นเราจึงควรรู้จักกับวิธีป้องกันวิธีการหลีกเลี่ยงไวรัสอย่าง เช่น ไวรัสบางตัวอาจจะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา รีสตาร์ทเองได้แต่สแกนไวรัสหาไม่เจอ

นายณัฐวุฒิ กิจผดุงเกียรติ

ติดตั้งใช้งานโปรแกรม Windows Fire wall
ในกรณีผู้ใช้ XP หรือ Vista โดยโปรแกรม Fire wall จะทำหน้าที่ป้องกัน คอมพิวเตอร์จากการบุกรุกไวรัสมัลแวร์ และเฮกเกอร์

นายพงศ์พัฒน์ พิสิฐนฤดม

การ Format drives เพื่อลบ OS และ Program ในกรณีที่เครื่องโดนไวรัสหนัก ๆ
ในกรณีที่เครื่องโดนไวรัสหนัก ๆ ไม่สามารถใช้งานเครื่องได้ตามปกติ จึงต้องทำการลง Windows ใหม่ จะทำกี่ครั้งก็ได้ไม่จำกัด แต่จะเสียเวลาในการลง Windows ใหม่ ๆProgram ใหม่ ทำให้ต้องใช้โปรแกรมหลายตัว ๆ ทำงานยุ่งมากแน่ ๆ วิธีง่าย ๆ เข้าไปใน My computer คลิกขวา ที่ drive c เลือก Format เครื่องมันจะถามว่าคุณแน่ใจแล้วนะว่าจะ Format แล้วกด ok เครื่องมันจะ Format Os Program ต่าง ๆ หมด

นายบุรินทร์ ขวัญมณี


ไม่เข้าเว็บไซต์ที่มีการแอบแฝงโค๊ดประสงค์ร้าย
บางครั้งการเข้าเว็บไซต์ต่าง ๆ อาจมีการแอบแฝง โค๊ดประสงค์ร้ายอยู่ ดังนั้นเราจะต้องใช้โปรแกรม หรือ ฟีเจอร์บางอย่างช่วยในการแยกแยะตัวเช่น โปรแกรม Site Advisor ของ Mcafee

นายประวิทย์ คงสุวรรณ์

ใช้งานโปรแกรม Auto run Killer (cpe) (โปรแกรมที่จะสแกนทันทีที่เสียบ Handy Drive)
ในการที่เราเสียบ Handy Drive ไป ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ อาจจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ virus เข้าเครื่อง ป้องกันไวรัสบางตัว เช่น Autorun ซึ่งจะเข้า มาในเครื่องทันที ที่เสียบ Handy Drive โดยที่ ตัวสแกน ไวรัส ในเครื่อง สามารถ สแกนได้ก็ต่อเมื่อเรากด สแกนไปแลวจึงไม่สามารถทำให้ ไวรัสบางตัวโดนลบไปได้

นายมนัสวี อยู่ยอด

ไม่ใช้งานโปรแกรม ที่มีรายละเอียด และเชื่อถือน้อย เช่น โปรแกรม สร้างไวรัส โปรแกรม เพื่มความเร็ว โปรแกรม โทรฟรี
การที่เราลงโปรแกรมหลากหลาย มั่วซั่วไปหมดไม่ดูไฟล์ข้างใน และรายละเอียดต่าง ๆ อาจจะนำพาไวรัส ร้าย ๆ บางตัวเข้ามา เพราะ ไวรัสบางชนิดจะซ่อนอยู่ในตัวโปรแกรมแปลก ๆ ที่ถูก พัฒนาขึ้นไม่ว่าจะเป็น โทรจัน ต่าง ๆ หรืออาจจะขั้นไวรัสร้ายแรงบางตัว เพราะฉะนั้นเวลาที่เราจะลงโปรแกรมอะไร ควรจะสแกนโปรแกรมตัวนั้นก่อน หรือ ดูรายละเอียดความน่าเชื่อถือ แล้วค่อยจัดการ Setup โปรแกรม นั้น ๆ

นายบุญญฤทธิ์ ทองฤทธิ์

ในบางครั้งเรานั้นต้องเก็บสื่อบนอินเตอร์เน็ต

เช่น รูปเล่มรายงาน รูป หนัง เพลง คลิปต่างๆ ซึ่งมาจากการ ดาวน์โหลด
บนเว็ปไซด์ต่างๆ เเล้วเเน่ใจเเล้วหรือว่าจะป้องกันไวรัสที่มาจากการดาวน์โหลดนี้ได้ จึงควรหลีกเลี่ยง ถ้าหากจำเป็นต้องดาวน์โหลดสิ่งนั้นจริงๆ
ควรต้องมีวิธีป้องกัน เช่น สเเกนไวรัส โดยต้องอัพเดทอยู่บ่อยๆ เพื่อที่จะไม่ให้ล่าหลังเเล้วเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการค้นหาไวรัสที่มากับสื่อได้ดีมากยิ่งขึ้น
การติดตั้ง Fire Well เพื่อป้องกันไวรัสที่เเอบเเฝงมาจากอินเตอร์เน็ต โดยที่เรานั้นไม่รู้ตัว เพื่อป้องกันเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา

นายอลงกรณ์ พักดีณรงค์



คำแนะนำก่อนเลือกใช้ Windows 7 32-bit หรือ 64-bit

ทำไม่ต้อง Windows 32-bit หรือ Windows 64-bit มันดีอย่างไร และทำไม่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง สาเหตุหลักๆ ของการพัฒนา Windows 32-bit หรือ Windows 64-bit นั้น มาจากข้อจำกัดของระบบปฏิบัติการ Windows รวมทั้ง hardware ด้วย เหตุผลก็คือ ข้อจำกัดในเรื่องของการรองรับหน่วยความจำ หรือ Memory นั่นเอง

ความสามารถในการรองรับหน่วยความจำของ Windows•Windows 32-bit รองรับ Memory ได้สูงสุด 4GB
•Windows 64-bit รองรับ Memory ได้ไม่จำกัด
ทำไมต้อง Windows 7 64-bit
นอกเหนือจากการที่สามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพราะสามารถเพิ่มหน่วยความจำได้มากๆ แล้ว การใช้งาน Windows 7 64-bit ยังทำงานได้เร็วกว่า Windows 32-bit อีกด้วย? แล้วอย่างนี้ จะเลือก Windows 7 64-bit เลยหรือเปล่า..? ช้าก่อน ให้อ่านหัวข้อถัดไปก่อน..
ข้อจำกัด?ก่อนเลือก Windows 7 64-bit•คอมพิวเตอร์ของเรา รองรับการทำงาน Windows 64-bit หรือไม่?
•โปรแกรมที่เราใช้งานอยู่ สามารถรองรับการทำงาน 64-bit ได้หรือไม่ (ต้องตรววจสอบ)
•โปรแกรมที่ทำงานประเภท 16-bit จะไม่สามารถใช้งานได้กับ Windows 64-bit
•โปรแกรมที่ทำงานประเภท 32-bit ยังคงทำได้ได้ดีกับ Windows 64-bit (ส่วนใหญ่โปรแกรมที่เราใช้เป็นประเภท 32-bit)
•ฮาร์ดแวร์ ต้องระวังเรื่องของ driver ว่ารองรับการทำงาน Windows 64-bit หรือไม่
*ดังนั้น ถ้าจะให้ดี ต้องมีการเตรียมการให้ละเอียดก่อนว่า ต้องการใช้งาน Windows 64-bit เพราะอะไร และมีความพร้อมในเรืองต่างๆ แล้วหรือยัง ไม่ว่าจะเป็น Software / Hardware อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย

การดูแลรักษาคอมพิวเตอร์ เบื้องต้น

เราควรทำอะไรบ้างกับคอมพิวเตอร์ของเรา
มีคนอีกจำนวนมากๆ ที่ไม่เคยดูแล รักษาเครื่องคอมพิวเตอร์เบื้องต้น หรือไม่ทราบว่าจะดูแลรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราให้อยู่กับเรานานๆ ได้อย่างไร อันนี้ไม่ได้โทษใคร แต่เราอยากจะแนะนำวิธีการดูแลรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา แบบพื้นฐาน อย่างน้อย จะได้ทราบว่า คอมพิวเตอร์ของเราอยู่ในสภาพแบบไหน พร้อมใช้งานหรือไม่
เริ่มต้นการดูแลรักษา ตรวจสอบเครื่องคอมพิวเตอร์
1. สภาพภายนอก แนะนำให้ทำความสะอาดสักนิด อย่างน้อยก็เพื่ออนามัย และสุขภาพของคุณเอง คุณทราบหรือไม่ แป้นพิมพ์หรือคีย์บอร์ด มันสกปรกขนาดไหน (ลองคิดเล่นๆ ดูว่า วันๆ คุณหยิบจับอาหาร และใช้งานแป้นพิมพ์ หรือไม่ และฝุ่นละอองข้างๆ มีมากน้อยเพียงใด) ควรทำสะอาดบ้าง อย่างน้อย สัปดาห์ละ 1 ครั้ง
2. สายไฟ สายสัญญาณต่างๆ หลวม หรือหักชำรุดหรือไม่ แนะเสียบปลั๊กแล้ว ไฟติดๆ ดับๆ บ่อยๆ แนะนำให้รีบแก้ไข ถ้าแก้ไขไม่ได้ ให้รีบซื้อเปลี่ยนใหม่ดีกว่า ไฟติดๆ ดับๆ บ่อยๆ มีบ่อยกับคอมพิวเตอร์อย่างมาก วันดี คืนดี อาจเปิดไม่ติดเลย
3. พื้นที่ว่างบนฮาร์ดดิสก์ หลังจากเปิด Windows เข้ามาแล้ว ลองเช็คพื้นที่ในฮาร์ดดิสก์ เสียก่อนว่า เหลือเท่าไหร่ ถ้าเหลือน้อยกว่า 500 MB ก็ควรพิจารณาเพื่มพื้นที่ว่างได้แล้ว โดยเฉพาะกับ Drive C: (ซึ่งเป็นที่เก็บโปรแกรม) แนะนำให้สำรองข้อมูล โดยเฉพาะไฟล์ต่างๆ ทีอยู่ใน My Documents ออกไปบ้าง หรืออาจสำรองลง Drive อื่นๆ (ถ้ามี)
4. ตรวจสอบสภาพฮาร์ดดิสก์ นอกเหนือเรื่องพื้นที่ว่างแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ การตรวจสอบฮาร์ดดิสก์ว่ามีจุดไหนเสียหรือไม่ วิธีการไม่จำเป็นต้องแกะเครื่องคอมฯ มาตรวจสอบ เพียงแค่ใช้โปรแกรมช่วยตรวจสอบ ประเภท Disk Defragment ก็สามารถเช็คได้แล้วว่า ฮาร์ดดิสก์ของเรามี "Bad Sector" หรือไม่ (Bad Sector เป็นจุดเสียของฮาร์ดดิสก์) ถ้ามี แนะนำให้รีบสำรองข้อมูล และเปลี่ยนฮาร์ดดิสก์ไปเลยจะปลอดภัยกว่า
5. ตรวจสอบไวรัสบ้าง ถึงแม้ว่าเราจะมีโปรแกรม Antivirus แล้วก็ตาม เราก็ยังคงจำเป็นต้องมีการตรวจสอบไวรัสอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง และที่สำคัญก็ควรอัปเดทโปรแกรมแบบออนไลน์ให้ทันสมัยอยู่เสมอด้วยเช่นกัน

บทความโดย นายอรรถพล เทียนงามสัจ 51116940046

ข้อดีและข้อเสียของ Windows 7

Posted by KM IT วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553, under | 0 ความคิดเห็น


ข้อดีของ Windows 7
1.ประสิทธิภาพดีกว่า > Windows XP 50% , > Windows Vista 25-40%
1.1 เร็วขึ้นโดยใช้ CPU จำลอง Graphic 3D (WDDM 1.0-1.1) ช่วยให้เครื่องที่ไม่มี VGA Card 3D แยกสามารถทำงานได้เต็มที่ + DirectX 11
1.2 ใช้ประสิทธิภาพ Hardware(RAM,HD,etc) ได้เต็มประสิทธิภาพ (มองเห็น RAM 4.00 GB,คัดลอกข้อมูลได้เร็วและเสถียรกว่า Vista)
1.3 ไม่ทำ Index พร่ำเพรื่อเหมือน Vista
2.เสถียร แม้จะเป็น version ทดสอบและเบต้า 1 ก็ยังทำงานได้ดี
และลดอัตราการปิดหน้าจอทั้งหมด (IE) และมีการจำ URL
ที่เข้าล่าสุดก่อนการปิดแบบผิดปกติไว้ ในบางครั้งที่เกิดการทำงานหนัก(Not
Responce) ก็ยังสามารถทำงานอื่นต่อได้เพื่อรอ
3.สามารถทำ virtualization จำลองการทำงานได้ดี (ทดสอบบน Sun xVM
VirtualBox 2.1) ติดตั้ง Windows XP , Windows 7 และ VS2008 พร้อมกันได้
4. สามารถใช้ Application ที่ใช้ได้บน Vista ได้ สำหรับ XP ใช้ได้บางโปรแกรม



ข้อเสีย

1.ใช้พื้นที่ฮาร์ดิสสำหรับการติดตั้งค่อนข้างมาก (9-11GB)
2.โปรแกรมที่ใช้บน Windows XP อาจใช้ไม่ได้บน Windows 7 (ต้องมีประสบการณ์การใช้ Vista)
3.Driver Hardware มีน้อย และต้องรอให้ Windows Update ให้
อาจใช้ไม่ได้กับเครื่องรุ่นเก่าบางรุ่น (เช่น IBM R51 CPU 1.6GHz แต่ไม่พบ
Driver VGA ทำให้ใช้ประสิทธิภาพ 3D ได้ไม่เต็มที่)
4.อาจมี bug ของ IE 8 beta บ้างในบาง web site , ต้องแก้ปัญหาภาษาไทยโดยยกเลิก font

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.vcharkarn.com/vblog/68727

การแก้ปัญหาที่มักเกิดกับคอมพิวเตอร์ Notebook



•แบตเตอรรี่หมดเร็ว ใช้ไม่นานก็หมดแล้ว
แบตเตอรี่หมดเร็ว สาเหตุหลักๆ มาจากนิสัยในการใช้งาน เช่น ดูหนัง ฟังเพลง เป็นต้น เพราะว่า Notebook ต้องใช้ไฟมากในการขับดันเสียงออกมาด้วย ดังนั้นจะทำให้แบตฯ หมดเร็วกว่าปกติ และนอกจากนี้ถ้ามีการใช้ Wireless หรือ Bluetooth ก็ทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วขึ้นอีกด้วยเช่นกัน ท้ายสุดน่าจะมาจากการกำหนดความสว่างของหน้าจอคอมพิวเตอร์ ถ้าเปิดสว่างมากก็เป็นปัญหาอีกส่วนหนึ่งด้วยเช่นกัน

•แบตเตอรี่ชาร์ตไฟไม่เข้า?ถอดปลั๊กไฟ คอมพิวเตอร์ก็ดับทันที?
แบตเตอรี่เสื่อม ให้หาซื้อของใหม่มาเปลี่ยนได้เลย แต่ถ้าต้องการราคาถูก สามารถหาซื้อเปลี่ยนไส้แบตได้ตามห้างไอทีทั่วไป?

•Windows ค้าง ปิดสวิทซ์ไฟก็ไม่สามารถทำได้
ให้ลองกดปุ่มสวิทซ์ค้างไว้ประมาณ 5-10 วินาที ถ้ายังไม่สามารถปิดได้ให้ถอดแบตเตอรี่ออก และรอสักประมาณ 30 วินาที แล้วค่อยใส่เข้าไปใหม่

•ระบบเสียงของ Notebook เปิดยังไงก็ไม่ดัง
ปกติลำโพงของ Notebook ส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถเปิดเสียงได้ดังมากนัก แต่ถ้าไม่ดังเลยให้ลองตรวจสอบ Volumn Control? รูปลำโพง ที่ Taskbar ว่ามีการกำหนด Mute หรือปิดเสียงหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ ให้ลองดูที่ Device Manager (คลิกขวาที่ My Computer เลือก Properties จากนั้นคลิกแท็ป?Hardware และเลือก Device Manager) เพื่อตรวจสอบว่า Drive ของ sound card ติดตั้งถูกหรือเปล่า สังเกตว่าถ้ามีสัญลักษณ์หรือเครื่องหมาย "!" และมีกากบาท "x" แสดงว่ามีปัญหา ให้ลองหาแผ่น driver มาลองติดตั้งใหม่

•หน้าจอ ไฟไม่ค่อยสว่าง
สำหรับ Notebook? หน้าจอ?LCD หลายๆ รุ่นจะคำสั่งในการปรับความสว่าง เช่น กดปุ่ม FN+ เพิ่มความสว่าง?(ดูสัญลักษณ์รูปดวงไฟ)?หรือกดปุ่ม FN + ลดความสว่าง (ดูสัญลักษณ์รูปดวงไฟ)?เพื่อปรับความสว่าง เป็นต้น และโดยปกติ ถ้าใช้งาน Notebook โดยไม่ได้มีการเสียบปลั๊กไฟ?การใช้งาน Notebook จะมีการปรับลดความสว่างอัตโนมัติ เพื่อประหยัดไฟให้ครับ แต่ถ้าต้องการปรับเปลี่ยนก็สามารถทำได้ปกติ??

•Notebook เครื่องร้อนเร็ว

สาเหตุอาจมาจากการทีเราไม่ได้ใช้ CPU รุ่นประหยัดไฟ เช่น Intel Centrino เป็นต้น นอกจากนี้ก็อาจขึ้นกับช่องระบายความร้อนของ Notebook แต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อ?แต่วิธีที่ช่วยให้เครื่อง Notebook ร้อนช้าลง ก็คือ ใช้งานในห้องที่เปิดแอร์ หรือหาอุปกรณ์ที่รอง Notebook และมีพัดลมระบายอากาศ?

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.it-guides.com/index.php/tips-a-techniques/74-hardware-tips-a-trouble-shooting/457-trouble-shooting-notebook

4 ขั้นตอน ทำโน้ตบุ๊คให้สะอาด

4 ขั้นตอน ทำโน้ตบุ๊คให้สะอาด

ก่อนอื่นมาเตรียมอุปกรณ์กันก่อน ...
เครื่องมือในการทำความสะอาดประกอบด้วย
- กระป๋อง หรือ ถ้วยขนาดเล็ก (ใช้สำหรับผสมน้ำยา)
- กระดาษเช็ดหน้า (ขอแนะนำให้ใช้ คลีเน็กซ์ อัลตรา ซอฟท์ ... เท่าที่ลองมา คลีเน็ก รุ่นนี้ดีที่สุด)
- แปรงทาสีขนาด 3/4 นิ้ว (เลือกใช้แปรงที่ขนไม่ร่วงนะครับ) ถ้าหาซื้อไม่ได้ใช้แปรงสีฟันเก่าก็ได้ ^^"
- ลูกยางเป่าลม (ถ้าหาไม่ได้สามารถใช้ลมกระป๋องแทนได้ .. แต่ต้องฉีดห่างๆ เพื่อลดแรงลม)
- ผ้า Duster Cloth ของ 3M (ใช้สำหรับกรณีที่มีฝุ่นจับมากเป็นพิเศษ) หาซื้อได้ตาม โลตัส บิ๊กซี
- ผ้าไมโครไฟเบอร์ ของ 3M (อันนี้จำเป็นมาก หาซื้อได้ทั่วไปตามโลตัส บิ๊กซี ราคาไม่เกิน 100 บาท)
- น้ำยาเช็ดคอม Touche Klean (มีขายทั่วไปตามร้านคอมฯ)

ขั้นตอนในการทำความสะอาด
ขั้นตอนที่ 1 : ปัดฝุ่น

กรณีที่โน้ตบุ๊คมีฝุ่นจับมากเป็นพิเศษ(พาโน้ตบุ๊คไปลุยแรลลี่ดั๊กก้ามา ^^") ให้ใช้ผ้า Duster Cloth ของ 3M
เช็ดให้ทั่วตัวโน้ตบุ๊ค ส่วนฝุ่นที่ติดอยู่ที่จอให้ใช้ผ้า Duster Cloth ปัดออก ปัดนะ อย่าเช็ด!
โน้ตบุ๊คที่มีฝุ่นจับไม่มาก ให้ใช้ลูกยางเป่าลม เป่าฝุ่นตามคีย์บอร์ด จอ และซอกหลืบต่างๆ
ทีนี้จะมีฝุ่นบางกลุ่มหน้าด้านเกาะไม่ยอมหลุด ให้ใช้แปรงทาสีปัด แคะ เขี่ย ฝุ่นที่ติดตามซอกหลืบและร่องต่างๆ
แล้วเป่าลมซ้ำอีกครั้งด้วยลูกยางเป่าลม .. เท่านี้ฝุ่นก็กระจุยออกไปหมดแล้ว
ไปขวาสุด ไม่เห็นฝุ่นในร่องไอคอนสถานะอีกแล้ว นี่ถ้าไม่ได้ใช้แปรงปัด ฝุ่นไม่หลุดแน่นอน)
จอ LCD ที่มีคราบนิ้วมือ คราบมันต่างๆ ให้ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์เช็ดคราบออก(เช็ดเบาๆ อย่าออกแรงกด)
ถ้าเช็ดไม่ออกจริงๆ ให้ใช้กระดาษเช็ดหน้าชุบน้ำ(บิดให้หมาดที่สุด)ถูกบริเวณคราบเบาๆ และเช็ดคราบน้ำ
ออกด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์อีกครั้ง (ห้ามใช้น้ำยาเด็ดขาด .. จอด่างขึ้นมาไม่รู้ด้วยนะ)


ขั้นตอนที่ 2 : เช็ดคราบสกปรก
ใช้กระดาษเช็ดหน้าชุบน้ำ(บิดหมาดๆ) เช็ดให้ทั่วตัวโน้ตบุ๊ค เช่น บริเวณแป้นวางมือ(บริเวณที่สกปรกที่สุด)
คีย์บอร์ด ขอบจอ หลังจอ ระหว่างเช็ดสังเกตด้วยนะ ถ้ากระดาษเช็ดหน้าเริ่มยุ่ยให้เปลี่ยนกระดาษ
เพราะไม่อย่างนั้นเศษกระดาษอาจหลุดลงไปในร่องคีย์บอร์ด ซวยเลย
ขอย้ำอีกครั้ง ว่าใช้ให้ กระดาษเช็ดหน้าคลีเน็กซ์ อัลตรา ซอฟท์ ... รุ่นนี้ เหนียว นุ่ม ไม่ยุ่ยง่ายๆ
ยี่ห้ออื่นหยาบเกินไปอาจทำให้โน้ตบุ๊คเป็นรอยขนแมวได้ .. เด๋วโน้ตบุ๊คจะหมดสวยกันพอดี


ขั้นตอนที่ 3 : เช็ดคราบสกปรกที่ขั้นตอนที่แล้วเช็ดไม่ออก

จากขั้นตอนที่แล้ว กระดาษเช็ดหน้าจะขจัดคราบสกปรกออกได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น
ยังมีคราบสกปรกที่มองไม่เห็นติดอยู่พอสมควร .. ต้องใช้ตัวช่วย!!
นี่ .. ตัวช่วย! น้ำยาเช็ดคอม Touche Klean (หาซื้อได้ทั่วไปเช่นกัน)
วิธีใช้น้ำยานี้ก็ง่ายๆ .
แต่ แต่ แต่ ห้ามใช้น้ำยา Touche Klean กับโน้ตบุ๊คโดยตรง เพราะจะทำให้โน้ตบุ๊คมีคราบเหลืองหรือเปลี่ยนสีได้ของอย่างนี้มีองค์ และมีขั้นตอน .ยังไงมาดูกัน
กระป๋อง หรือ ถ้วยขนาดเล็ก ที่ให้เตรียมไว้ตั้งแต่ตอนแรกก็เพื่อการนี้แหละ ..
งานนี้ใช้ก้นกระป๋องเป็นที่ผสมน้ำยาครับ อิๆ ไฮโซซะไม่มี ก่อนอื่นเทน้ำยา
ลงประมาณ 7 - 8 หยด เติมน้ำเปล่าลงไป 1/4 ของฝาเหล้า คนให้เข้ากัน
งงมั๊ย?? เอาเป็นว่าผสมน้ำยา Touche Klean กับน้ำเปล่าในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 เป็นอย่างน้อย
แต่ปกติแล้วผมจะผสมที่อัตราส่วน 1 : 2 หรือไม่ก็ 1 : 3 (ขึ้นอยู่กับความโสโครก ถ้าโสฯมาก 1:1 โลด)
หลังจากผสม กวนๆ น้ำยากับน้ำเข้ากันแล้ว ไปดูขั้นตอนต่อไปกัน


ขั้นตอนที่ 4 : สกปรกอย่าอยู่เลย

กระดาษเช็ดหน้าชุบน้ำยาที่ผสมแล้วบิดหมาดๆ เช็ดให้ทั่วบอดี้โน้ตบุ๊ค(จอไม่ต้องเช็ด)
บนแป้นวางมือ หลังจอ ขอบจอ เช็ดให้หมด ... ถูๆ ด้วย คราบสกปรกจะได้หลุดออกมาเร็วขึ้น
สำหรับคีย์บอร์ดให้ม้วนกระดาษเช็ดหน้าให้เล็กลง ค่อยๆ เช็ดไปทีละปุ่ม หรือจะใช้คัตตอนบัดเช็ดก็ได้
ถ้ากระดาษเช็ดหน้าเริ่มยุ่ยให้เปลี่ยนกระดาษ
เพราะไม่อย่างนั้นเศษกระดาษอาจหลุดลงไปในร่องคีย์บอร์ดได้ ซวยเลย เตือนเป็นครั้งที่ 2 แล้วนะ
พลิกกระดาษเช็ดหน้าขึ้นดู ... กระดาษดำป่ะ?
ยังไม่เสร็จนะ ... มีอีกขั้นตอนนึง


ขั้นตอนที่ 5 : ซ้ำชั้นตอนที่ 2 ใช้กระดาษเช็ดหน้าชุบน้ำ(บิดหมาดๆ)เช็ดให้ทั่วตัวโน้ตบุ๊ค ที่ต้องเช็ดด้วยน้ำเปล่าอีกครั้ง
ก็เพื่อล้างคราบน้ำยาที่ติดอยู่ที่ตัวโน้ตบุ๊คออกนั่นแหละ ... เช็ดซ้ำทุกส่วนที่เช็ดน้ำยาลงไป
เสร็จแล้วก็ใช้กระดาษเช็ดหน้าแห้งๆ เช็ดคราบน้ำออก ...
เป็นอันเสร็จพิธี ... เสร็จสิ้นวิธีทำความสะอาดโน้ตบุ๊ค รับรองสะอาดน่าใช้ขึ้นเป็นกอง
อ้อ ด้านล่างของโน้ตบุ๊ค ใช้แค่กระดาษเช็ดหน้าชุบน้ำเช็ดออกก็เพียงพอแล้ว
แต่ถ้าจะใช้น้ำยาด้วยก็ไม่ว่ากัน .. แต่บิดกระดาษให้หมาดที่สุดนะ ด้านล่างช่องมันเยอะ
ถ้าโน้ตบุ๊คไม่มีวอยด์ เปิดฝาออกมาเป่าฝุ่นหน่อยก็ดี


ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=orni&month=05-2008&date=03&group=9&gblog=29

การใช้งาน Disk Cleanup สำหรับลบไฟล์ที่ไม่จำเป็นออกจาก ฮาร์ดดิสก์ สำหรับ Windows XP

Posted by KM IT วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2553, under | 1 ความคิดเห็น
การใช้งาน Disk Cleanup สำหรับลบไฟล์ที่ไม่จำเป็นออกจาก ฮาร์ดดิสก์ สำหรับ Windows XP
1. คลิกที่ Start > Program > Accessories > System Tools > Disk Cleanup

2. เลือกไดร์ฟที่ต้องการทำ Disk Cleanup แล้วคลิก OK



3. คลิกเครื่องหมายถูกไฟล์ที่ต้องการลบ แล้วคลิก OK

4. ยืนยันการลบคลิก Yes
ทำอย่างนี้ในทุก ๆ ไดร์ฟที่ต้องการลบ

ขอขอบคุณข้อมูลพร้อมรูปจาก : http://www.bcoms.net/article/diskcleanup_xp.asp

เทคนิคเด็ด ๆ กับการใช้งาน Windows

Posted by KM IT วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553, under | 0 ความคิดเห็น
เทคนิคเด็ด ๆ กับการใช้งาน Windows
การลบไฟล์หรือโฟล์เดอร์แบบถาวร

การลบไฟล์หรือโฟล์เดอร์นั้น โดยทั่วไปไม่ใช่การลบทิ้งเสียทีเดียว แต่จะเก็บไว้ที่ Recycle Bin ซึ่งตรงนี้สามารถกู้คืนกลับมาได้ หากต้องการใช้อีก แต่ถ้าเราจะลบไฟล์นั้น ๆ ทิ้งออกไปจากเครื่องของเราเลย สามารถทำได้โดยการกดคีย์ Shift + Del ก็จะเป็นการลบแบบทีเดียวหายเกลี้ยงเลยครับ

การแสดงปุ่ม Start Menu สำหรับท่านที่มี keyboard แต่ไม่มีปุ่มรูป windowsสำหรับ key board ทีไม่มีปุ่มรูป windows นั้นเราสามารถแสดงปุ่ม Start Menu ได้โดยการกดปุ่ม Ctrl + ESC เมื่อกด 2 ปุ่มนี้พร้อมกัน ก็จะมีเมนูของปุ่ม Start ขึ้นมา แล้วใช้ปุ่มลูกศร หรือกดตัวอักษรตัวแรกของเมนู จะไปได้เร็วกว่าเมาส์มากครับ

สลับโปรแกรมใช้งานอย่างรวดเร็ว
เมื่อเราเปิดโปรแกรมขึ้นมาใช้งานหลาย ๆ โปรแกรม และจะมีโปรแกรมแสดงไว้ที่ Taskbar ตามโปรแกรมที่เราเปิดมาใช้งาน การเปลี่ยนโปรแกรมอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้เมาส์ มีการสลับอยู่ 2 แบบดังนี้
- Alt+Tab เมื่อกดแล้วจะมีหน้าต่าง ๆ เล็กให้เลือกโปรแกรมที่เปิดไว้แล้ว มาให้เลือก
- Alt+Esc จะสลับไปที่โปรแกรมต่าง ๆ ตามลำดับทันที
ทั้งสองวิธีถ้ากดซ้ำไปเรื่อย ๆ จะเป็นการสลับไปโปรแกรมต่อ ๆ ไปครับ

การเพิ่มความเร็วของ Menu
- จากปุ่ม Start Menu ไปที่ Run ให้พิมพ์คำว่า regedit แล้วกด ok
-จะมีหน้าต่างของ Register Editor ปรากฏขึ้นมา ซึ่งคล้าย ๆ หน้าต่างของ Windows Explorer นั่นแหล่ะครับ คือจะมีสองส่วน ด้านซ้ายแสดง Directory ด้านขวาแสดงรายละเอียดต่าง ๆ ภายใน Directory
- ต่อจากนั่นเข้าไปที่ HKEY_CURRENT_USER
- เข้าไปที่ Control Panel
- เข้าไปที่ Desktop
- ภายใน Desktop ทางด้านขวาให้คลิกที่พื้นที่ว่าง ๆ
- เลือก New
- เลือก String Value
- พิมพ์คำว่า MenuShowDelay โดยให้พิมพ์ตามนี้ทุกอย่าง แล้วกด Enter
- คลิกขวาที่ MenushowDelay
- เลือก Modify
- ใส่ค่า Value เป็น 0
- ปิดหน้าต่าง Register Editor แล้ว Restart เครื่อง
- เมื่อเปิดเครื่องขึ้นมาใหม่ ลองคลิกที่ปุ่ม Start Menu แล้วลองเอาเมาส์ชี้ที่แต่ละรายการดู

การเก็บเว็บสุดโปรดไว้ที่ทาส์กบาร์ คลิกเมาส์ขวาบนที่ว่างของทาส์กบาร์
เลือก Toolbars --> New Toolbar จากนั้นหน้าต่าง New Toolbar จะถูกเรียกขึ้นมา
ในไดอะล็อกบ็อกซ์ที่เขียนว่า Choose a folder, or type an Internet address ให้เราพิมพ์ชื่อของเว็บไซต์ที่เราต้องการลงไป หรืออาจจะใช้วิธี copy ชื่อ URL แล้วนำมา paste ในไดอะล็อกบ็อกซ์นี้ก็ได้ จากนั้นกด OK


แสดง Folder ย่อยอย่างรวดเร็วด้วยการกดปุ่ม * (star)ในการใช้ Windows Explorer ของ Windows เพื่อดูรายละเอียดของ Folder แต่ละ Folder ว่าภายในประกอบด้วย Folder ย่อยๆ อะไรบ้างนั้น ตามปกติเราต้องใช้เมาส์คลิกที่เครื่องหมาย + หน้า Folder ไปเรื่อย ๆ เพื่อเข้าไปใน Folder ย่อย ๆ ซึ่งในกรณีที่ Folder ที่เราคลิกเข้าไปดูนั้นมี Folder ย่อย จำนวนมาก เราก็จะเสียเวลาคลิกหลายครั้ง แต่ถ้าต้องการให้ Windows แสดง Folder ย่อยทั้งหมดอย่างรวดเร็ว เราสามารถทำได้ด้วยการคลิกที่ Folder ที่เราต้องการดูรายละเอียด จากนั้นกดปุ่ม * ที่คียบอร์ดของ Numpad (ด้านขวาที่เป็นปุ่มตัวเลข) Folder ย่อยๆ ทั้งหมดของ Folder นั้นก็จะแสดงออกมาให้เห็นอย่างรวดเร็ว


การกำจัดไฟล์ .tmp ทุกครั้งที่เปิด Windows

ไฟล์ .tmp เป็นไฟล์ขยะประเภทหนึ่งที่สามารถลบทิ้งได้ ซึ่งโดยปกติ Windows จะคอยกำจัดไฟล์เหล่านี้ให้โดยอัตโนมัติอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตามหากการทำงานของ Windows ผิดปกติไป หลาย ๆ ครั้งก็จะมีไฟล์พวก .tmp เหล่านี้สะสมไว้ในโฟลเดอร์ Temp ของ Windows ซึ่งทำให้เปลืองเนื้อที่ฮาร์ดดิสก์ไปโดยเปล่าประโยชน์
สำหรับวิธีกำจัดไฟล์ .tmp โดยอัตโนมัติทุกครั้งที่เปิด Windows นั้นทำได้ด้วยการเข้าไปปรับแต่งไฟล์ Autoexec.bat ดังนี้
- จาก Start Menu ไปที่ Run แล้วให้พิมพ์ sysedit
- จากนั้นจะมีหน้าต่าง System Configuration editor ขึ้นมา
- ให้ไปที่ file Autoexec.bat แล้วพิมพ์ del C:\Windows\Temp\*.tmp>nul
- ปิดหน้าต่าง System Configuration editor ไป
- คราวนี้ปัญหา file ขยะพวก .tmp ก็ถูกกำจัดไปเรียบร้อยทุกครั้งเมื่อเปิดเครื่องใหม่ครับ

ส่งเมลล์ทันใจผ่าน Internet Explorer
ขณะที่เรากำลังใช้ Internet Explorer อยู่ แล้วอยากส่งเมลล์หาเพื่อน เราสามารส่งเมลล์ผ่านบราวเซอร์ของ Internet Explorer ได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาไปเปิดโปรแกรม Outlook ให้ยุ่งยากแต่อย่างใด โดยให้พิมพ์ที่ช่อง Address Bar ของ Internet Explorer ดังนี้
mailto:comclub@student.sut.ac.th
จากนั้นกด Enter ลองดูผลว่าเป็นอย่างไร
หากส่งไม่ได้อาจเกิดจากไม่มีโปรแกรมส่ง Mail ในเครื่องครับ

วิธีแก้ปัญหา Autorun ของแผ่น CDวิธีแก้ง่าย ๆ ทำได้โดยการกด Shift เวลาเราใส่แผ่น CD เข้าไป รอจนไฟจาก CD Rom หยุดอ่าน แล้วค่อยปล่อย Shift ครับ
ถ้าจะแก้แบบถาวรก็ต้องทำอย่างนี้ครับ
- เข้าไปที่ Control Panel ดับเบิลคลิกที่ไอคอน System
- คลิกที่แท็บ Device Manager
- ดับเบิลคลิกที่ CD Rom
- จะเห็น CD Rom รุ่นที่เราใช้อยู่
- ดับเบิลคลิกที่ CD Rom ของเรา
- เลือกที่แทบ Settings
- ดูที่ Auto insert notification
- ให้เอากากบาทออก แล้วเลือก OK เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
- ถ้าจะให้เป็น Autorun เหมือนเดิม ก็ทำได้โดยเลือกกากบาทเหมือนเดิมครับ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://support.mof.go.th/tip3.htm

ประเภทของเครือข่ายคอมพิวเตอร์




ประเภทของเครือข่ายคอมพิวเตอร์

เครือข่ายสามารถจำแนกออกได้หลายประเภทแล้วแต่เกณฑ์ที่ใช้ เช่น ขนาด ลักษณะการแลกเปลี่ยนข้อมูลของคอมพิวเตอร์ เป็นต้น โดยทั่วไปการจำแนกประเภทของเครือข่ายมีอยู่ 3 วิธีคือ

1. ใช้ขนาดทางกายภาพของเครือข่ายเป็นเกณฑ์ แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทดังนี้

1.1 LAN (Local Area Network) : ระบบเครือข่ายระดับท้องถิ่น





เป็นระบบเครือข่ายที่ใช้งานอยู่ในบริเวณที่ไม่กว้างนัก อาจใช้อยู่ภายในอาคารเดียวกันหรืออาคารที่อยู่ใกล้กัน เช่น ภายในมหาวิทยาลัย อาคารสำนักงาน คลังสินค้า หรือโรงงาน เป็นต้น การส่งข้อมูลสามารถทำได้ด้วยความเร็วสูง และมีข้อผิดพลาดน้อย ระบบเครือข่ายระดับท้องถิ่นจึงถูกออกแบบมาให้ช่วยลดต้นทุนและเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ ร่วมกัน

1.2 MAN (Metropolitan Area Network) : ระบบเครือข่ายระดับเมือง




เป็นระบบเครือข่ายที่มีขนาดอยู่ระหว่าง Lan และ Wan เป็นระบบเครือข่ายที่ใช้ภายในเมืองหรือจังหวัดเท่านั้น การเชื่อมโยงจะต้องอาศัยระบบบริการเครือข่ายสาธารณะ จึงเป็นเครือข่ายที่ใช้กับองค์การที่มีสาขาห่างไกลและต้องการเชื่อมสาขาเหล่านั้นเข้าด้วยกัน เช่น ธนาคาร เครือข่ายแวนเชื่อมโยงระยะไกลมาก จึงมีความเร็วในการสื่อสารไม่สูง เนื่องจากมีสัญญาณรบกวนในสาย เทคโนโลยีที่ใช้กับเครือข่ายแวนมีความหลากหลาย มีการเชื่อมโยงระหว่างประเทศด้วยช่องสัญญาณดาวเทียม เส้นใยนำแสง คลื่นไมโครเวฟ คลื่นวิทยุ สายเคเบิล


1.3 WAN (Wide Area Network) : ระบบเครือข่ายระดับประเทศ หรือเครือข่ายบริเวณกว้าง


เป็นระบบเครือข่ายที่ติดตั้งใช้งานอยู่ในบริเวณกว้าง เช่น ระบบเครือข่ายที่ติดตั้งใช้งานทั่วโลก เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ที่อยู่ห่างไกลกันเข้าด้วยกัน อาจจะต้องเป็นการติดต่อสื่อสารกันในระดับประเทศ ข้ามทวีปหรือทั่วโลกก็ได้ ในการเชื่อมการติดต่อนั้น จะต้องมีการต่อเข้ากับระบบสื่อสารขององค์การโทรศัพท์หรือการสื่อสารแห่งประเทศไทยเสียก่อน เพราะจะเป็นการส่งข้อมูลผ่านสายโทรศัพท์ในการติดต่อสื่อสารกันโดยปกติมีอัตราการส่งข้อมูลที่ต่ำและมีโอกาสเกิดข้อผิดพลาด การส่งข้อมูลอาจใช้อุปกรณ์ในการสื่อสาร เช่น โมเด็ม (Modem) มาช่วย


2. ใช้ลักษณะหน้าที่การทำงานของคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายเป็นเกณฑ์ สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทดังนี้
2.1 Peer-to-Peer Network หรือเครือข่ายแบบเท่าเทียม
เป็นการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน โดยเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่ละเครื่อง จะสามารถแบ่งทรัพยากรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไฟล์หรือเครื่องพิมพ์ซึ่งกันและกันภายในเครือข่ายได้ เครื่องแต่ละเครื่องจะทำงานในลักษณะที่ทัดเทียมกัน ไม่มีเครื่องใดเครื่องเครื่องหนึ่งเป็นเครื่องหลักเหมือนแบบ Client / Server แต่ก็ยังคงคุณสมบัติพื้นฐานของระบบเครือข่ายไว้เหมือนเดิม การเชื่อมต่อแบบนี้มักทำในระบบที่มีขนาดเล็กๆ เช่น หน่วยงานขนาดเล็กที่มีเครื่องใช้ไม่เกิน 10 เครื่อง การเชื่อมต่อแบบนี้มีจุดอ่อนในเรื่องของระบบรักษาความปลอดภัย แต่ถ้าเป็นเครือข่ายขนาดเล็ก และเป็นงานที่ไม่มีข้อมูลที่เป็นความลับมากนัก เครือข่ายแบบนี้ ก็เป็นรูปแบบที่น่าเลือกนำมาใช้ได้เป็นอย่างดี

2.2 Client-Server Network หรือเครือข่ายแบบผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการ
เป็นระบบที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องมีฐานะการทำงานที่เหมือน ๆ กัน เท่าเทียมกันภายในระบบ เครือข่าย แต่จะมีเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง ที่ทำหน้าที่เป็นเครื่อง Server ที่ทำหน้าที่ให้บริการทรัพยากรต่าง ๆ ให้กับ เครื่อง Client หรือเครื่องที่ขอใช้บริการ ซึ่งอาจจะต้องเป็นเครื่องที่มีประสิทธิภาพที่ค่อนข้างสูง ถึงจะทำให้การให้บริการมีประสิทธิภาพตามไปด้วย ข้อดีของระบบเครือข่าย Client - Server เป็นระบบที่มีการรักษาความปลอดภัยสูงกว่า ระบบแบบ Peer To Peer เพราะว่าการจัดการในด้านรักษาความปลอดภัยนั้น จะทำกันบนเครื่อง Server เพียงเครื่องเดียว ทำให้ดูแลรักษาง่าย และสะดวก มีการกำหนดสิทธิการเข้าใช้ทรัพยากรต่าง ๆให้กับเครื่องผู้ขอใช้บริการ หรือเครื่องClient


3. ใช้ระดับความปลอดภัยของข้อมูลเป็นเกณฑ์
การแบ่งประเภทเครือข่ายตามระดับความปลอดภัยของข้อมูล ซึ่งจะแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทคือ อินเทอร์เน็ต (Internet) อินทราเน็ต (Intranet) และ เอ็กส์ทราเน็ต (Extranet) อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายสาธารณะที่ทุกคนสามารถเชื่อมต่อเข้าได้ เครือข่ายนี้จะไม่มีความปลอดภัยของข้อมูลเลย ถ้าทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลที่แชร์ไว้บนอินเทอร์เน็ตได้ ในทางตรงกันข้าม อินทราเน็ตเป็นเครือข่ายส่วนบุคคล ข้อมูลจะถูกแชร์เฉพาะผู้ที่ใช้อยู่ข้างในเท่านั้น หรือผู้ใช้อินเทอร์เน็ตไม่สามารถเข้ามาดูข้อมูลในอินทราเน็ตได้ ถึงแม้ว่าทั้งสองเครือข่ายจะมีการเชื่อมต่อกันอยู่ก็ตาม ส่วนเอ็กทราเน็ตนั้นเป็นเครือข่ายแบบกึ่งอินเทอร์เน็ตและอินทราเน็ตกล่าวคือ การเข้าใช้เอ็กส์ทราเน็ตนั้นมีการควบคุม เอ็กส์ทราเน็ตส่วนใหญ่จะเป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อระหว่างองค์กรเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลบางอย่างซึ่งกันและกัน ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลนี้ต้องมีการควบคุม เพราะเฉพาะข้อมูลบางอย่างเท่านั้นที่ต้องการแลกเปลี่ยน

3.1 อินเทอร์เน็ต (Internet) เครือข่ายสาธารณะ

อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วโลก ซึ่งมีคอมพิวเตอร์เป็นล้านๆเครื่องเชื่อมต่อเข้ากับระบบและยังขยายตัวขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี อินเทอร์เน็ตมีผู้ใช้ทั่วโลกหลายร้อยล้านคน และผู้ใช้เหล่านี้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันได้อย่างอิสระ โดยที่ระยะทางและเวลาไม่เป็นอุปสรรค นอกจากนี้ผู้ใช้ยังสามารถเข้าดูข้อมูลต่าง ๆ ที่ถูกตีพิมพ์ในอินเทอร์เน็ตได้ อินเทอร์เน็ตเชื่อมแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เข้าด้วยกันไม่ว่าจะเป็นองค์กรธุรกิจ มหาวิทยาลัย หน่วยงานของรัฐบาล หรือแม้กระทั่งแหล่งข้อมูลบุคคล องค์กรธุรกิจหลายองค์กรได้ใช้อินเทอร์เน็ตช่วยในการทำการค้า เช่น การติดต่อซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตหรืออีคอมเมิร์ช (E-Commerce) ซึ่งเป็นอีกช่องทางหนึ่งสำหรับการทำธุรกิจที่กำลังเป็นที่นิยม เนื่องจากมีต้นทุนที่ถูกกว่าและมีฐานลูกค้าที่ใหญ่มาก ส่วนข้อเสียของอินเทอร์เน็ตคือ ความปลอดภัยของข้อมูล เนื่องจากทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลทุกอย่างที่แลกเปลี่ยนผ่านอินเทอร์เน็ตได้
อินเทอร์เน็ตใช้โปรโตคอลที่เรียกว่า “TCP/IP (Transport Connection Protocol/Internet Protocol)” ในการสื่อสารข้อมูลผ่านเครือข่าย ซึ่งโปรโตคอลนี้เป็นผลจากโครงการหนึ่งของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ โครงการนี้มีชื่อว่า ARPANET (Advanced Research Projects Agency Network) ในปี ค.ศ.1975 จุดประสงค์ของโครงการนี้เพื่อเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ที่อยู่ห่างไกลกัน และภายหลังจึงได้กำหนดให้เป็นโปรโตคอลมาตรฐานในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ในปัจจุบันอินเทอร์เน็ตได้กลายเป็นเครือข่ายสาธารณะ ซึ่งไม่มีผู้ใดหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง การเชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ตต้องเชื่อมต่อผ่านองค์กรที่เรียกว่า “ISP (Internet Service Provider)” ซึ่งจะทำหน้าที่ให้บริการในการเชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ต นั่นคือ ข้อมูลทุกอย่างที่ส่งผ่านเครือข่าย ทุกคนสามารถดูได้ นอกเสียจากจะมีการเข้ารหัสลับซึ่งผู้ใช้ต้องทำเอง

3.2 อินทราเน็ต (Intranet) หรือเครือข่ายส่วนบุคคล

ตรงกันข้ามกับอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ตเป็นเครือข่ายส่วนบุคคลที่ใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต เช่น เว็บ, อีเมล, FTP เป็นต้น อินทราเน็ตใช้โปรโตคอล TCP/IP สำหรับการรับส่งข้อมูลเช่นเดียวกับอินเทอร์เน็ต ซึ่งโปรโตคอลนี้สามารถใช้ได้กับฮาร์ดแวร์หลายประเภท และสายสัญญาณหลายประเภท ฮาร์ดแวร์ที่ใช้สร้างเครือข่ายไม่ใช่ปัจจัยหลักของอินทราเน็ต แต่เป็นซอฟต์แวร์ที่ทำให้อินทราเน็ตทำงานได้ อินทราเน็ตเป็นเครือข่ายที่องค์กรสร้างขึ้นสำหรับให้พนักงานขององค์กรใช้เท่านั้น การแชร์ข้อมูลจะอยู่เฉพาะในอินทราเน็ตเท่านั้น หรือถ้ามีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับโลกภายนอกหรืออินเทอร์เน็ต องค์กรนั้นสามารถที่จะกำหนดนโยบายได้ ในขณะที่การแชร์ข้อมูลอินเทอร์เน็ตนั้นยังไม่มีองค์กรใดที่สามารถควบคุมการแลกเปลี่ยนข้อมูลได้ เมื่อเชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ต พนักงานบริษัทของบริษัทสามารถติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกเพื่อการค้นหาข้อมูลหรือทำธุรกิจต่าง ๆ การใช้โปรโตคอล TCP/IP ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าใช้เครือข่ายจากที่ห่างไกลได้ (Remote Access) เช่น จากที่บ้าน หรือในเวลาที่ต้องเดินทางเพื่อติดต่อธุรกิจ การเชื่อมต่อเข้ากับอินทราเน็ต โดยการใช้โมเด็มและสายโทรศัพท์ ก็เหมือนกับการเชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ต แต่แตกต่างกันที่เป็นการเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายส่วนบุคคลแทนที่จะเป็นเครือข่ายสาธารณะอย่างเช่นอินเทอร์เน็ต การเชื่อมต่อกันได้ระหว่างอินทราเน็ตกับอินเทอร์เน็ตถือเป็นประโยชน์ที่สำคัญอย่างหนึ่ง
ระบบการรักษาความปลอดภัยเป็นสิ่งที่แยกอินทราเน็ตออกจากอินเทอร์เน็ต เครือข่ายอินทราเน็ตขององค์กรจะถูกปกป้องโดยไฟร์วอลล์ (Firewall) ซึ่งอาจจะเป็นได้ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่กรองข้อมูลที่แลกเปลี่ยนกันระหว่างอินทราเน็ตและอินเทอร์เน็ตเมื่อทั้งสองระบบมีการเชื่อมต่อกัน ดังนั้นองค์กรสามารถกำหนดนโยบายเพื่อควบคุมการเข้าใช้งานอินทราเน็ตได้
อินทราเน็ตสามารถสนองความต้องการของผู้ใช้ในองค์กรได้หลายอย่าง ความง่ายในการตีพิมพ์บนเว็บทำให้เป็นที่นิยมในการประกาศข่าวสารขององค์กร เช่น ข่าวภายในองค์กร กฎ ระเบียบ และมาตรฐาน การปฏิบัติงานต่าง ๆ เป็นต้น หรือแม้กระทั่งการเข้าถึงฐานข้อมูลขององค์กรก็ง่ายเช่นกัน ผู้ใช้สามารถทำงานร่วมกันได้ง่าย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

3.3 เอ็กส์ทราเน็ต (Extranet) หรือเครือข่ายร่วม

เอ็กส์ทราเน็ต (Extranet) เป็นเครือข่ายกึ่งอินเทอร์เน็ตกึ่งอินทราเน็ต กล่าวคือ เอ็กส์ทราเน็ตคือเครือข่ายที่เชื่อมต่อระหว่างอินทราเน็ตของสององค์กร ดังนั้นจะมีบางส่วนของเครือข่ายที่เป็นเจ้าของร่วมกันระหว่างสององค์กรหรือบริษัท การสร้างอินทราเน็ตจะไม่จำกัดด้วยเทคโนโลยี แต่จะยากตรงนโยบายที่เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่ทั้งสององค์กรจะต้องตกลงกัน เช่น องค์กรหนึ่งอาจจะอนุญาตให้ผู้ใช้ของอีกองค์กรหนึ่งล็อกอินเข้าระบบอินทราเน็ตของตัวเองหรือไม่ เป็นต้น การสร้างเอ็กส์ทราเน็ตจะเน้นที่ระบบการรักษาความปลอดภัยข้อมูล รวมถึงการติดตั้งไฟร์วอลล์หรือระหว่างอินทราเน็ตและการเข้ารหัสข้อมูลและสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ นโยบายการรักษาความปลอดภัยข้อมูลและการบังคับใช้

ขอขอบคุณข้อมูลพร้อมรูปจาก : http://learn.wattano.ac.th/learning/userchap13

ระบบเครือข่ายไร้สายคืออะไร

ระบบเครือข่ายไร้สาย (Wireless LAN : WLAN) หมายถึง เทคโนโลยีที่ช่วยให้การติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง หรือกลุ่มของเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถสื่อสารกันได้ ร่วมถึงการติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์เครือข่ายคอมพิวเตอร์ด้วยเช่นกัน โดยปราศจากการใช้สายสัญญาณในการเชื่อมต่อ แต่จะใช้คลื่นวิทยุเป็นช่องทางการสื่อสารแทน การรับส่งข้อมูลระหว่างกันจะผ่านอากาศ ทำให้ไม่ต้องเดินสายสัญญาณ และติดตั้งใช้งานได้สะดวกขึ้น




ระบบเครือข่ายไร้สายใช้แม่เหล็กไฟฟ้าผ่านอากาศ เพื่อรับส่งข้อมูลข่าวสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ และระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์เครือข่าย โดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านี้อาจเป็นคลื่นวิทย (Radio) หรืออินฟาเรด (Infrared) ก็ได้
การสื่อสารผ่านเครือข่ายไร้สายมีมาตราฐาน IEEE802.11 เป็นมาตราฐานกำหนดรูปแบบการสื่อสาร ซึ่งมาตราฐานแต่ละตัวจะบอกถึงความเร็วและคลื่นความถี่สัญญาณที่แตกต่างกันในการสื่อสารข้อมูล เช่น 802.11b และ 802.11g ที่ความเร็ว 11 Mbps และ 54 Mbps ตามลำดับ สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมศึกษาได้จาก มาตราฐาน IEEE802.11 และขอบเขตของสัญญาณคลอบคุลพื้นที่ประมาณ 100 เมตร ในพื้นที่โปรง และประมาณ 30 เมตร ในอาคาร ซึ่งระยะทางของสัญญาณมีผลกระทบจากสิ่งรอบข้างหลายๆ อย่าง เช่น โทรศัพท์มือถือ ความหนาของกำแพง เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ต่างๆ รวมถึงร่างกายมนุษย์ด้วยเช่นกัน สิ่งเหล่านี้มีผลกระทบต่อการใช้งานเครือข่ายไร้สายทั้งสิ้น
การเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สายมี 2 รูปแบบ คือแบบ Ad-Hoc และ Infrastructure รายละเอียดเพิ่มเติมศึกษาได้จาก รูปแบบเครือข่ายไร้สาย การใช้งานเครือข่ายไร้สายของผู้ใช้บริการทั่วไปจะเป็นแบบ Infrastructure คือมีอุปกรณ์กระจายสัญญาณ (Access Point) ของผู้ให้บริการเป็นผู้ติดตั้งและกระจายสัญญาณ ให้ผู้ใช้ทำการเชื่อมต่อ โดยผู้ใช้บริการจะต้องมีอุปกรณ์รับส่งสัญญาณขอเรียกว่า "การ์ดแลนไร้สาย" เป็นอุปกรณ์รับส่งสัญญาณ ทำหน้าที่รับส่งสัญญาณจากเครื่องคอมพิวเตอร์ผู้ใช้ไป Access Point ของผู้ให้บริการ
สรุปการเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สายเป็นการเชื่อมต่อเครือข่ายของเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าสู่ระบบเครือข่าย เหมือนกับระบบแลน (LAN) มีสายปกติ แตกต่างที่อุปกรณ์ทางกายภาพในการเชื่อมต่อเครือข่ายไม่ต้องใช้สายสัญญาณแต่อย่างใด โดยการใช้งานเครือข่ายไร้สายสามารถใช้บริการต่างๆ บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้เหมือนเครือข่ายมีสายได้ปกติ เว้นแต่ว่าผู้ดูแลระบบเครือข่ายนั้นๆ จะปิดบริการบางบริการเพื่อความปลอดภัยของเครือข่ายได้เช่นกัน ซึ่งการเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สายช่วยให้การเชื่อมต่อง่ายขึ้น ประหยัดค่าสายสัญญาณ และใช้งานได้ทุกที่ที่สัญญาณเครือข่ายไร้สายไปถึง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://wise.swu.ac.th/technology001.htm

7 ข้อปฏิบัติในการดูแล Notebook

7 ข้อปฏิบัติในการดูแล Notebook

1. ระบายความร้อนใต้เครื่องให้ดี
ความร้อนสะสมภายในเครื่องเป็นศัตรูตัวฉกาจของโน๊ตบุ้ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร้อนบริเวณใต้เครื่อง ซึ่งปกติตัวเครื่องจะเกือบถูกวางแนบไว้กับพื้นโต๊ะ ซึ่งทำให้มีช่องว่างเพียงนิดเดียวที่อากาศเย็นจากภายนอก จะสามารถไหลเวียนเข้าไปเพื่อพาอากาศร้อนใต้เครื่องให้ออกมาได้ จึงทำให้ความร้อนสะสมภายในเครื่อง สูงขึ้นตามลำดับ ซึ่งจะมีผลโดยตรงการอายุการใช้งานของชิ้นต่างๆภายในเครื่องในระยะ ผมจึงขอแนะนำให้หาฐานวางโน๊ตบุ้กมาใช้ เพื่อช่วยเพิ่มความไหลเวียนของอากาศบริเวณใต้เครื่อง ถ้าเป็นรุ่นที่มีพัดลมระบายอากาศได้ด้วยยิ่งดี และหลีกเลี่ยงการใช้งานโน๊ตบุ้กบนเตียงหรือบนเบาะนุ่มๆอย่างเด็ดขาด เพราะนั่นจะเป็นการตัดระบบการระบายความร้อนใต้เครื่องอย่างสิ้นเชิง


2. อย่าเพิ่งปิดฝาเลยทันทีที่เลิกใช้

ถึงแม้คุณจะได้ปฏิบัติตามข้อที่หนึ่งที่ช่วยลดความร้อนสะสมในตัวเครื่อง ในระหว่างที่ใช้งานไปแล้วการระบายความร้อนในช่วงที่ปิดเครื่องใหม่ๆก็มีความสำคัญเช่นกัน การปิดฝาเครื่องทันทีที่เลิกใช้จะทำให้ความร้อนที่เกิดระหว่างที่เปิด ใช้งานสะสมอยู่ในเครื่องนานกว่าที่ควรจะเป็นเพราะตัวมีเวลาไม่พอที่จะคลายความร้อนทั้งหมดออกมา ดังนั้นผมจึงขอแนะนำว่าหลังจากที่คุณใช้งานเสร็จ ให้คุณดึงปลั้กหม้อแปลงชาร์ตไฟออกตามปกติ แต่เปิดฝาเครื่องทิ้งไว้ประมาณ 3 – 5 นาที เพื่อให้เครื่องมีเวลาในการระบายความร้อน ในช่วงที่เปิดใช้งานให้หมดก่อน จากนั้นจึงค่อยปิดฝาเครื่องเพื่อป้องกันฝุ่นละอองต่างๆลงบนเครื่อง


3. ห้ามถอดแบตเตอรี่อย่างเด็ดขาด

หลายๆท่านคงเคยได้ยินคนบอกว่า ควรถอดแบตเตอรี่ออกจากเครื่องในระหว่างที่ใช้อยู่ในบ้าน เพื่อเป็นการถนอมอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ แต่ผมขอบอกว่านั่นเป็นความคิดที่ผิดมากๆ จริงอยู่การทำเช่นนั้นจะทำให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ยาวขึ้น แต่นั่นก็เป็นการทำให้อายุการใช้งานของเครื่องโดยรวมสั้นลงเช่นกัน เพราะเมื่อมีเหตุการณ์ไฟตกหรือไฟดับ ตัวเครื่องก็จะหยุดการทำงานในทันทีโดยไม่มีการปิดเครื่องอย่างถูกต้องซึ่งนอกจากจะทำให้คุณสูญเสียงานที่กำลังทำอยู่แล้วยังเป็นอันตรายต่อชิ้นส่วนอย่างฮาร์ดดิสก์ในระยะยาวเป็นอย่างมาก ผมจึงขอแนะนำให้ห้ายถอดแบตเตอรี่อยู่เป็นประจำอย่างเด็ดขาด และเสียบใช้ไฟผ่านหม้อแปลงทุกครั้งที่มีโอกาสใช้ไฟจากปลั้ก


4. การเสียบแจ๊ตชาร์ตจากหม้อแปลงไฟฟ้าให้ถูกต้อง

บางท่านอ่านที่หัวข้อแล้วจะงงๆว่าการเสียบแจ๊ตชาร์ตไฟมีวิธีที่ถูกต้องและไม่ถูกต้องด้วยหรือ ผมบอกได้เลยว่ามี และถ้าไม่ระวังให้ดีจะมีผลให้ไฟช๊อตเมนบอร์ดของเครื่องได้ด้วย ซึ่งคงจะไม่ได้ทำให้เสียในทันที แต่จะมีผลในระยะยาวอย่างแน่นอน ไฟซ๊อตจะเกิดขึ้นตอนที่คุณเสียบแจ๊ตเนี่ยล่ะครับ คุณเคยสังเกตตอนที่คุณเสียบแจ๊ตชาร์ตไฟ กับตัวเครื่องมั้ยครับว่า บางครั้งจะเกิดประกายไฟขึ้นตอนที่เสียบ นั่นเป็นเพราะคุณเสียบ ไม่ถูกต้องนั้นเอง วิธีที่ถูกต้องคือตอนเปิดใช้ให้เสียบแจ๊ตที่ชาร์ตไฟจากหม้อแปลง ไฟฟ้าที่เครื่องก่อนแล้วค่อยเสียบปลั้กและตอนเลิกใช้ให้ถอดปลั้กไฟและรอให้ไฟที่ตัวหม้อแปลงไฟฟ้าดับก่อนแล้ว ค่อยถอดแจ๊ตออกจากตัวเครื่อง ด้วยวิธีการนี้จะทำให้ตัดโอกาสไฟช๊อตอันเกิดจากประกายไฟตอนที่เสียบหรือถอดแจ๊ตได้อย่างเด็ดขาด


5. ก่อนเคลื่อนย้ายให้ปิดฝาเครื่องก่อน
ปัญหาบานพับโน้ตบุ้กหักเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ผู้ใช้โน๊ตบุ้กต้องปวดหัวกันมาก ส่วนใหญ่จะโทษบริษัทผู้ผลิตที่ใช้วัสดุไม่ดี หรือออกแบบมาไม่ดีพอ แต่จริงๆแล้วปัญหาบานพับหักนี้มักจะเกิดจากการใช้งานไม่ถูกต้องเองมากกว่า เช่น การเปิดฝากหน้าจอไว้ในขณะยกเคลื่อนย้าย, การใช้มือเปล่าถือเครื่องไปโดยไม่ได้ใส่กระเป๋าให้เรียบร้อยก่อน เป็นต้น ซึ่งการทำเช่นนี้จะทำให้ข้อต่อบานพับมีการขยับเขยือนมากกว่าที่ควรจะเป็น และเมื่อนานวันเข้าก็จะเริ่มแตกร้าวและหักได้ในที่สุด คุณสามารถป้องกันได้ง่ายๆด้วยตัวเอง ด้วยการปิดฝาเครื่องทุกครั้งก่อนที่จะยกเคลื่อนย้าย และหากต้องเคลื่อนย้ายไปไกลๆก็แนะนำให้เก็บเครื่องใส่กระเป๋าให้เรียบร้อยก่อน จะเป็นการป้องกันการแตกหักของบานพับได้ดีที่สุด


6. ใช้งานช่องพอร์ต USB และ PCMCIA ในเครื่องเท่าที่จำเป็น
ปกติการใช้งานช่องพอร์ต USB และ PCMCIA สำหรับการใช้งานอุปกรณ์เสริมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น USB Drive, TV Tuner Card, Wireless Network Card หรือ FireWire Card จะทำให้ซีพียูต้องทำงานมากกว่าปกติ และเมื่อซีพียูมีการทำงานมากขึ้น ความร้อนที่เกิดจากการทำงานของซีพียูที่มากขึ้นก็จะมากขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ความร้อนที่เกิดจากอุปกรณ์เสริมเหล่านี้ยังทำให้ความร้อนสะสมภายในเครื่องเพิ่มสูงขึ้นไปอีกด้วย ซึ่งความร้อนสะสมที่มากกว่าปกติจะมีผลโดยตรงทำให้อายุการใช้งานของชิ้นส่วนต่างๆในเครื่องสั้นลงกว่าที่ควรจะเป็น ผมจึงขอแนะนำให้ใช้งานอุปกรณ์เสริมต่างเท่าที่จำเป็น ดึงออกทันทีที่ใช้เสร็จ และหลีกเลี่ยงการเสียบทิ้งไว้ตลอดเวลาที่เปิดเครื่องใช้งาน


7. อย่าทิ้งแผ่นซีดี/ดีวีดีไว้ในเครื่องอย่างเด็ดขาด
ผมเชื่อว่าคงมีหลายๆท่านที่ชอบเผลอลืมใส่แผ่นซีดี/ดีวีดีทิ้งไว้ในเครื่อง โดยไม่รู้ตัวว่านั่นเป็นการทำให้ไดร์ฟซีดี/ดีวีดีต้องทำงานมากกว่าปกติ เพราะต้องมีการอ่านข้อมูลทุกเครื่องที่มีการเปิดเครื่องขึ้นมา และต้องอ่านแผ่นเพิ่มขึ้นในหลายๆครั้งที่คุณเปิด Windows Explorer ซึ่งจะทำให้หัวอ่านของไดร์ฟซีดี/ดีวีดีต้องทำงานมากกว่าปกติ ซึ่งจะมีผลทำให้อายุการใช้งานของไดร์ฟซีดี/ดีวีดีสั้นลง ด้วยเหตุนี้ผมจึงขอแนะนำให้เอาแผ่นซีดี/ดีวีดีออกจากเครื่องทุกครั้งที่คุณใช้งานจากแผ่นเสร็จ และปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและสม่ำเสมอ


ข้อปฏิบัติที่ผมกล่าวมาทั้งหมดในข้างต้นอาจจะเป็นเรื่องเล็กๆที่หลายท่านมักจะมองข้ามไป แต่ถ้าคุณสามารถปฏิบัติได้และปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ผมเชื่อแน่เลยว่าโน๊ตบุ้กของคุณจะอยู่รับใช้คุณไปได้อีกนาน ไม่ต้องไปพาไปเที่ยวที่ศูนย์ซ่อมเป็นประจำเหมือนอย่างที่เกิดขึ้นกับหลายๆคนอย่างแน่นอน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.beartai.com/webboard/index.php?topic=41778.0

การชาร์ตแบตเตอรี่ Notebook

การดูแลแบตเตอร์รี่ Notebook

1. พยายาม ลดการใช้พลังงานแบตเตอรี่เกินกำลัง ซึ่งแม้ว่า การแบตเตอรี่สำหรับอุปกรณ์แต่ละรุ่นจะถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานนั้นๆ แล้วก็ตาม แต่หากเราลดการใช้กำลังไฟ ที่ไม่จำเป็น ก็จะช่วยลดภาระของแบตเตอรี่ และช่วยยืดอายุการใช้งานได้ เช่น สำหรับโน้ตบุ๊ค เมื่อไม่ได้ใช้งาน Wireless lan, Bluetooth ก็ควรปิด ไม่ควรเปิดไว้ เพราะว่าระบบเหล่านี้ ก็จะทำงานกินไฟไปเรื่อยๆ โดยไม่จำเป็น
2. พยายามถอดแบตเตอรี่ออกทุกครั้งที่มีการเสียบไฟบ้าน สำหรับในกรณีนี้ เป็นข้อแนะนำที่อาจจะดูกลางๆ หรือว่า ไม่จำเพาะเจอะจงว่าต้องทำ เนื่องจากโน้ตบุ๊คหลายๆ รุ่นจะมีระบบตัดไฟอยู่แล้วเมื่อพบว่าแบตเตอรี่เต็มอยู่ ก็จะปรับไปใช้งานระบบไฟบ้านเพียงอย่างเดียว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า โน้ตบุ๊คทุกรุ่นจะมี หรือสามารถทำได้ ยังมีโน้ตบุ๊ค อีกหลายรุ่นที่ไฟจะถูกดึงจากแบตเตอรี่เป็นหลัก แม้ว่าจะเสียบไฟบ้านก็ตาม

ซึ่ง ผลของมันคือ จะทำให้แบตเตอรี่ ทำงานอยู่ตลอดเวลาทั้งชาร์ตและจ่ายไฟในคราวเดียวกัน ส่งผลทำงานมากขึ้น เกิดความร้อน และทำให้ (cell battery) เสื่อมในที่สุดนั่นเอง

รูปภาพ
ลักษณะรูปร่าง cell battery ของโน้ตบุ๊ค

3. ควร เคลียร์ (cell battery) ทุกๆ สามสิบครั้งของการชาร์จ เนื่องจากแบตเตอรี่ในกลุ่มนี้ จะนับจำนวนรอบและชาร์ตพลังเดิมได้ตลอด ทำให้หลายๆ ครั้งที่ ประจุ มีอาการเหมือนกับคั่งค้างอยู่ใน แบตเตอรี่ จนทำให้เจ้าโน้ตบุ๊คของคุณแสดงปริมาณของไฟ ไม่ตรง ซึ่งสังเกตุได้จาก อาการที่ เครื่องปิดตัวเองเหมือนกับแบตเตอรี่อ่อน ทั้งๆ ที่เครื่องของคุณยังแสดงปริมาณเหลืออีกเกือบครึ่งเป็นต้น

หมายถึงว่า มีประจุคั่งค้างใน (cell battery) เสียแล้ว วิธีการแก้ไขคือ ทุกครั้งการชาร์จไปแล้วประมาณ 30 ครั้ง ควรจะเปิดเครื่องใช้งานจนแบตหมดจริงๆ แล้วชาร์จให้เต็มซักครั้ง ก็จะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ หรืออาจจะใช้งานให้จนหมดซักสองถึงสามครั้งแล้วชาร์ตจนเต็ม

4. อย่า เก็บแบตเตอรี่ไว้ในที่ร้อน เพราะหลายท่านมักจะพกพาเอา โน้ตบุ๊คไปไหนมาไหนเสมอ มักจะทิ้งไว้ในรถยนต์ โดยท่านไปทำกิจธุระอื่นๆ ทั้งวัน การทิ้งแบตเตอรี่ไว้ในรถยนต์ที่จอดทิ้งไว้ หากจอดไว้ในที่ร่มคงไม่เป็นไร แต่ถ้าจอดไว้กลางแดดแล้วละก็จะทำให้ (cell battery) ร้อน และเสื่อมสภาพเร็วกว่าปรกติครับ

5. อย่าเก็บแบตเตอรี่ไว้รวมกับสื่อนำไฟฟ้าอื่นๆ หรือในกล่องที่นำไฟฟ้าได้ เพราะหลายครั้งที่แบตเตอรี่เสียเนื่องมาจากเกิดการชาร์ตในระหว่างการเก็บ เช่น มีเศษเหรียญไปโดนบริเวณขั้วแบตเตอรี่ทั้งสองขั้ว เป็นต้น

6. เมื่อแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ และต้องการเปลี่ยน (cell battery) ภายใน ควรเลือกที่จะให้ทางศูนย์บริการเปลี่ยนให้ หรือซื้อจากศูนย์ฯ โดยตรง เพราะการเปลี่ยน (cell battery) ภายในนั้นหลายครั้งที่มีการใส่ (cell battery) ผิดแบบ ผิดประเภท จนทำให้เครื่องพังได้ครับ
7. อย่าลืมติดตามข่าวสารด้านเทคโนโลยีจากเว็บไซต์ต่างๆ เช่น ล่าสุดเราจะได้ยินข่าวแบตเตอรี่โน้ตบุ๊ค (ระเบิด!!) ซึ่งทางบริษัทผู้ผลิต ก็ได้ทำการแจ้งข่าวสารผ่านทางหน้าเว็บไซต์ของผู้ผลิตเอง แล้วทำการเรียกแบตเตอรี่รุ่นที่มีปัญหากลับคืน เพื่อเปลี่ยนรุ่นใหม่ให้ เป็นต้น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.itpsu47.info/index.php?topic=812.0

การ Defrag ฮาร์ดดิสก์ เพื่อเพิ่มความเร็วให้กับการทำงานของระบบ สำหรับ Windows XP

การ Defrag ฮาร์ดดิสก์ เพื่อเพิ่มความเร็วให้กับการทำงานของระบบ สำหรับ Windows XP
1. ดับเบิ้ลคลิกที่ My Computer คลิกขวาไดร์ฟที่ต้องการทำ Defragment เลือก Properties




2. คลิกที่แท็บ Tools จากนั้นคลิกที่ Defragment Now...






3. คลิกที่ Defragment



4. จากนั้นให้รอ เครื่องจะทำการ Defragment ซึ่งอาจจะใช้เวลานาน



5.เมื่อเครื่อง Defragment เสร็จเครื่องจะแจ้งให้ทราบถ้าต้องการดูรายละเอียดต่าง ๆ ของการ Defragment ให้คลิกที่ View Report ถ้าไม่ต้องการก็ให้คลิกที่ Close



หมายเหตุ
• การทำ Defragment ให้ทำการ Disk Cleanup และ Scan Disk ก่อน ถ้าทำไม่ผ่านให้ทำใน Saft Mode

ขอขอบคุณข้อมูลพร้อมภาพจาก http://www.bcoms.net/article/defrags_xp.asp

การใช้งาน Scan Disk สำหรับตรวจสอบข้อผิดพลาดของ ฮาร์ดดิสก์ สำหรับ Windows XP


การใช้งาน Scan Disk สำหรับตรวจสอบข้อผิดพลาดของ ฮาร์ดดิสก์ สำหรับ Windows XP
1. ดับเบิ้ลคลิกที่ My Computer คลิกขวาไดร์ฟที่ต้องการทำ Scan Disk เลือก Properties


2. คลิกที่แท็บ Tools จากนั้นคลิกที่ Check Now…

3. คลิกเครื่องหมายถูกที่ Scan for and attempt recovery of bad sectors แล้วคลิก Start




4. รอสักครู่เครื่องจะทำการ Scan Disk




5. เมื่อเครื่องทำการ Scan Disk เสร็จก็จะรายงานได้ทราบ ให้คลิก OK





หมายเหตุ
• ขณะที่ทำการ Scan Disk ไม่ควรเปิดโปรแกรมใด ๆ
• Automatically fix errors เป็นการกำหนดให้ทำการแก้ไขปัญหาที่พบโดยอัตโนมัติ เมื่อพบข้อผิดพลาดขึ้น



ขอขอบคุณข้อมูลพร้อมภาพจาก http://www.bcoms.net/article/scandisks_xp.asp

การเลือกซื้อเพาเวอร์ซัพพลาย


การเลือกซื้อเพาเวอร์ซัพพลาย


ในอดีตเพาเวอร์ซัพพลาย มักเป็นสิ่งที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์มองข้ามอยู่เสมอ เนื่องจากคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ไม่ได้มีการใช้พลังงานไฟมากมายเช่นในปัจจุบัน อีกทั้งเพาเวอร์ส่วนใหญ่ที่ติดตั้งมากับตัวเคส โดยเฉพาะกับคอมพ์สำเร็จรูป ก็สามารถรองรับได้เพียงพอ แต่ในวันนี้เฉพาะเมนบอร์ดและการ์ดจอด รุ่นกลางๆ ก็สามารถทำให้เพาเวอร์เดิมๆ สะดุดหรือเกิดอาการผิดปกติได้ง่ายๆ แม้ว่าเพาเวอร์ที่ใช้นั้นจะระบุกำลังไฟที่ 450Walt ก็ตาม
ดังนั้นจึงต้องมาทำความเข้าใจกันใหม่กับการเลือกใช้เพาเวอร์ซัพพลายให้เหมาะสมและถูกวิธี เพื่อที่จะช่วยให้การใช้งานคอมพิวเตอร์ราบรื่น รวมถึงมีเสถียรภาพอีกด้วย หลักพิจารณาในการเลือกซื้อหรือว่าได้เวลาเปลี่ยน PSU หรือยังนั้น มีหลายปัจจัยด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น อาการเกิดบลูสกรีน (Blue-scree) การดับหรือรีสตาร์ตโดยไม่ทราบสาเหตุ รวมถึงการไม่สามารถเข้าระบบได้เลย ซึ่งอาจเกิดได้ทั้งจ่ายไฟไม่พอหรือเริ่มมีการลัดวงจรนั่นเอง ปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่บอกถึงอันตรายอันอาจเกิดกับอุปกรณ์อื่นๆ ในคอมพ์ด้วยดังนั้นอย่าได้นิ่งนอนใจในการแก้ไขปัญหา ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยน PSU จะมีการเลือกอย่างไร

เลือกแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือสูง

ผู้ผลิตที่ได้รับความนิยมส่วนใหญ่ ก็จะใช้วัสดุคุณภาพดีและมีความประณีต ส่งผลต่อความปลอดภัยและความทนทานในการใช้งานที่นานขึ้น ผู้ใช้อาจเลือกตรวจสอบข้อมูลจากเว็บไซต์หรือร้านค้าที่จำหน่าย นอกจากนี้อาจเข้าไปสอบถามหรือหาข้อมูลจากผู้ใช้เว็บไซต์ทดสอบ เว็บบอร์ดต่างๆอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ



เลือกกำลังไฟที่เพียงพอต่อคอมพิวเตอร์
ดูจากฉลากด้านข้างตัวอุปกรณ์ซึ่ง PSU รุ่นใหม่ๆ ส่วนใหญ่จะระบุมาอย่างชัดเจน ด้วยกำลังไฟที่จ่ายได้ต่ำสุด-สูงสุด รวมถึงไฟเลี้ยงและค่าต้านทานที่เหมาะสมโดยที่คอมพิวเตอร์ทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 350-500 วัตต์ แต่ถ้าเป็นกลุ่มเกมเมอร์ก็จะสูงขึ้นไปอีกด้วยคือ 500-750 วัตต์ ยิ่งถ้าเป็นเกมการ์ดแบบคู่ไม่ว่าจะเป็น SLI หรือ CrossFire ซึ่งการ์ดแต่ละตัวต้องใช้ไฟเลี้ยงเพิ่มเติมด้วยแล้ว อาจต้องก้าวไปถึง 700 วัตต์ เลยทีเดียว มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ต่อพ่วงภายในด้วยเช่นกัน หากสงสัยวาคอมพิวเตอร์ของตนที่ใช้อยู่หรือกำลังจะซื้อ ต้องใช้ PSU ขนาดไหน สามารถเข้าไปคำนวณการใช้พลังงานของเครื่อง เพื่อใช้ในการเลือกซื้อเพาเวอร์ซัพพลายได้ง่ายๆ โดยมีเว็บไซต์หลายที่ให้บริการคำนวณ เช่น http://www.extreme.outervision.com/psucalculatorlite.jsp การใช้งานเพียงกรอกรายละเอียดอุปกรณ์ที่ใช้ลงไปก็จะคำนวณการใช้งานออกมาให้ทันที

คอนเน็กเตอร์สำหรับต่ออุปกรณ์ภายใน
ในเรื่องของคอนเน็กเตอร์ก็สำคัญเช่นกัน ควรเลือก PSU ที่มีหัวจ่ายไฟให้เพียงพอกับการใช้งานของคุณ ไม่ว่าจะเป็นคอนเน็กเตอร์ 20-pins หรือ 24-pinsสำหรับเพาเวอร์ หรืออย่างน้อยควรมีหัวแปลงมาให้ Molex 4-pins(12V) ที่ใช้เพิ่มในกรณีของเมนบอร์ดรุ่นใหม่ๆรวมถึงถ้ามี 6-pins สำหรับกราฟิกการ์ดที่ต้องใช้พลังงานเพิ่มก็ตาม นอกจากนี้ยังมีสายเพาเวอร์สำหรับฮาร์ดดิสก์ในแบบ SATA มาด้วยเช่นกัน ดูง่ายๆก็คือ ควรจะต้องมีในส่วนที่เป็น Form Factor มาครบถ้วน และเพียงพอสำหรับความต้องการนั่นเอง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.bcoms.net/buycomputer/powersupply.asp

การเลือกซื้อแรม (RAM)



การเลือกซื้อแรมปัจจุบัน นอกจากจะต้องดูกันที่ความจุความเร็วแล้ว หลายคนยังมองไปที่สัปดาห์ที่ผลิต รวมถึงเม็ดแรมที่นำมาใช้อีกด้วย โดยเฉพาะกับบรรดาเซียนคอมพ์ทั้งหลาย ที่แทบจะเอากล้องส่งอพระมาส่องกันเลยทีเดียว แต่สิ่งเหล่านี้ คงต้องยกให้กับเหล่ามืออาชีพกันไป ส่วนผู้ที่กำลังมองหาไว้ใช้งานโดยทั่วไปแล้ว สำหรับการเลือกแรมมีหลักง่ายๆ เพียงไม่กี่ข้อ ไม่ยุ่งยาก เพียงแต่อาจใส่ใจอยู่บ้าง เริ่มตั้งแต่

ดูจากเมนบอร์ดที่ใช้อยู่
ปัจจุบันชัดเจนว่าแรมที่มีอยู่ในตลาดและใช้กันอยู่โดยทั่วไป มีอยู่ 3 รูปแบบคือ DDR, DDR2 และ DDR3 โดยที่แต่ละแบบก็ใช้งานกับแพลตฟอร์มต่างกันออกไป กล่าวคือ DDR (184-pins) จะทำงานร่วมกับชิปเซตรุ่นเก่าของทั้ง Intel ตระกูล 845, 865 และใน VIA P4M บางรุ่น สำหรับ AMD ก็มีตั้งแต่ nForce2, nForce3, GeForce 6100/6150 แต่เวลานี้ก็แทบจะลาจากตลาดไปอย่างถาวร ส่วนใหญ่จะถูกเปลี่ยนสำหรับการอัพเกรด ประกอบด้วย DDR400/333/266 (PC3200/2700/2100)
ส่วน DDR2 (240-pins) นับว่ายังคงเป็นแรมยอดนิยม ที่ยืนหยัดอยู่ในตลาดได้อีกนานพอสมควร ใช้กับชิปเซตทั้งหลายที่มีอยู่ ณ ปัจจุบันได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ายอินเทล 915, 925, 945, 955, 965, 975, G31, G33, P35, X38 และ X48 รวมไปถึง 680i/ 780i ส่วนทาง AMD ก็ใช้ได้กับ nForce4, nForce 5xx Series, 690G, nForce 750/770/790FX Series ซึ่งก็มีให้เลือกตั้งแต่ DDR2 800/667/533 (PC6400/5300/4200) นับเป็นแรมที่มีราคาค่อนข้างถูก มีให้เลือกตั้งแต่แถวละ 512MB, 1GB และ 2GB
ล่าสุดกับ DDR3 (240-pins) ที่ยังถือว่าเป็นแรมที่มีประสิทธิภาพสูงพอสมควร รวมถึงราคาจำหน่ายด้วยเช่นกัน เนื่องจากยังไม่มีการสนับสนุนอย่างเต็มที่เท่าใดนัก ส่วนชิปเซตจากอินเทลจะมีเพียง X48 ที่รองรับการทำงานอย่างเต็มตัว แต่ผู้ผลิตก็ยังมีในแบบ DDR2 มาให้ใช้ด้วย ส่วนทาง AMDจะมีในรุ่น AMD 790i ที่เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดเท่านั้น ที่ออกมารองรับการทำงานกับ DDR3 โดยจะมีความเร็วที่ DDR3 1333 และ DDR3 1066 (PC10600/8500)

เลือกที่ความจุและขนาดที่ต้องการ

ให้ดูจากปริมาณการทำงานและแอพพลิเคชันที่ใช้เป็นหลัก หากการใช้งานทั่วไปร่วมกับวินโดวส์เอ็กซ์พีแล้ว ความจุที่512MB ก็น่าจะเพียงพอต่อการใช้งาน แต่ถ้ามีความต้องการในเรื่องของเกมสามมิติและโปรแกรมตกแต่งภาพแล้ว ความจุที่มากกว่า 1GB จะช่วยให้มีความลื่นไหลมากขึ้น ส่วนถ้าหากจำนำไปใช้กับงานระดับ Workstation ความจุที่ 2-4GB ก็ดูจะเป็นขนาดที่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงที่แรม DDR2 ราคาถูกเช่นนี้ การอัพเกรดความจุให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะหาซื้อได้ ก็เป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย



เลือกแบบ Single ความจุสูงแถวเดียวหรือ Dual ความจุเท่ากัน 2 แถวดี
ในความเป็นจริงทั้ง 2 แบบก็ถือว่าถูกเหมือนกัน แต่อาจต้องมาคิดคำนวณ ระหว่างราคากับประสิทธิภาพ ในปัจจุบันนี้ ต้องไม่ลืมว่าการทำงานในโหมด Dual Channel ที่เป็นแบบแรมสองแถวคู่ มีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมไม่น้อยกว่า 20% แต่นั่นหมายถึงมีอัตราค่าใช้จ่ายสูงกว่าการซื้อแรมแบบแถวเดียว ในความจุเท่ากัน อย่างเช่นกรณี Corsair VS 512MB x 2 (Kit) ราคา 460 บาท แต่ถ้า 1 GB แถวละ 730 บาท (เดือนมกราคม) แต่แบนด์วิดธ์ที่ได้จะต่างกัน การใช้แถวคู่ก็แน่นอนว่าจะต้องเสียสล็อตเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งช่อง การอัพเกรดก็น้อยลง ดังนั้นแล้วก็ควรจะพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ

องค์ประกอบอื่นๆ

ในส่วนขององค์ประกอบพิเศษก็คงหนีไม่พ้นเรื่องการระบายความร้อน ซึ่งหลายค่ายนิยมติด Heat Spreader ที่ช่วยในการระบายความร้อนมาให้ ซึ่งดูเหมือนว่าจะเพิ่มมูลค่าได้ไม่น้อยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามการติดฮีตชิงก์ให้กับแรมนี้ควรจะต้องมั่นใจว่ามีการระบายความร้อนที่ดีด้วยเช่นกัน เช่นการปรับทิศทางลมให้เหมาะสม ไม่เช่นนั้นอาจเกิดภาวะสะสมความร้อน จนเกิดอันตรายต่อแรมได้เช่นกัน แต่ปัจจุบันก็มีพัดลมสำหรับสล็อตแรมมาจำหน่ายเช่นกัน

การรับประกัน
ดูเหมือนว่าจะเป็นแรมอุปกรณ์ไม่กี่ชนิด ที่ใช้การรับประกันแบบ Life Time Warranty มาเป็นจุดขาย แต่ก็คงต้องทำความเข้าใจกับรูปแบบการรับประกันดังกล่าวนี้ด้วย การรับประกันตลอดชีพ จะหมายถึงการรับประกันไปจนถึงช่วงที่สิ้นสุดการผลิตของแรมรุ่นดังกล่าวเท่านั้น แต่ถ้าเกิดมีปัญหาหลังจากนั้น ทางผู้จัดจำหน่าย อาจให้เลือกเปลี่ยนเป็นรุ่นอื่น อาจเป็นรุ่นที่ดีกว่าหรือถูกกว่า รวมถึงในบางครั้งอาจต้องจ่ายส่วนต่างด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจและการตกลงกันของผู้ซื้อและผู้จำหน่าย
ส่วนเงื่อนไขการรับประกันให้ตกลงกับผู้จำหน่ายให้เป็นที่เข้าใจ แต่ส่วนใหญ่การรับประกันจะไม่รวมไปถึง การแตกหักเสียหาย เม็ดแรมหลุดหรือบิ่น จะมีเพียงบางค่ายที่ยอมรับได้ในเรื่องการไหม้ รวมถึงการเก็บใบเสร็จหรือใบรับประกันไว้ให้เรียบร้อย สำหรับการยืนยันกับร้านค้า หากเกิดปัญหาในขั้นตอนการเคลม

ขอขอบข้อความจาก
http://www.bcoms.net/buycomputer/ram.asp

การเลือกซื้อฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ


การเลือกซื้อฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ


1. ขนาดความจุของฮาร์ดดิสก์
เรื่องขนาดความจุของฮาร์ดดิสก์นี้ค่อนข้างตัดสินใจได้ง่าย ซึ่งมีตัวเลขที่ระบุไว้ตามลาเบลไว้อย่างชัดเจน ปัจจุบันขนาดความจุที่มีจำหน่ายกันอยู่ที่ ระดับกิกะไบต์ เช่น 20, 30, 40, 60 ไปจนถึง 400 กิกะไบต์ แน่นอนเมื่อปริมาณความจุที่สูงขึ้นย่อมส่งผลให้ราคาต้องขยับตัวสูงตามไปด้วย สำหรับขนาดที่ ควรจะซื้อหามาใช้ในปัจจุบัน ควรเลือกซื้อให้เหมาะสมกับการใช้งาน และไม่ควรเพื่อพื้นที่ไว้ใช้งานมากจนเกินจำเป็น เพื่อประหยัดงบประมาณในกระเป๋าท่านได้อีกทางและสามารถที่จะใช้พื้นที่บนฮาร์ดดิสก์ได้อย่างคุ่มค้าอีกด้วย

2. ความเร็วรอบ
ความเร็วรอบสำคัญไฉนสิ่งที่ทำให้เห็นได้ชัดเจนก็คือการหมุนของวงล้อรถหากซอยถี่มากเท่าใด จะย่นระยะเวลาไปยังจุดหมายปลายทางมากขึ้นเท่านั้น ในทำนองเดียวกันกับฮาร์ดดิสก์ที่เมื่อความเร็วรอบยิ่งถี่เพียงใด จะทำให้ประสิทธิภาพในการเข้าถึงหรือค้นหาข้อมูลมีความรวดเร็วขึ้นตามไปด้วย ซึ่งปัจจุบันความเร็วรอบในการหมุนจานดิสก์มมาตรฐานพีซีและแล็บท็อปส่วนใหญ่มาอยู่ที่ 7,200 รอบต่อนาที (3.5 นิ้ว) และ5,400 รอบต่อนาที (2.5 นิ้ว) นอกจากนี้การใช้งานที่สูงขึ้นไปอีกในระดับเอ็นเทอร์ไพช์อย่างเครื่องเซิร์ฟเวอร์และเวิร์คสเตชั่น ความเร็วรอบในการหมุนที่จัดจ้านถึงระดับ 10,000 - 15,000 รอบต่อนาที ดูจะเหมาะกว่า เนื่องจากการใช้งานระดับการเข้าถึงและเรียกใช้มีความสำคัญมาก

3. หน่วยความจำบัฟเฟอร์
อีกวิธีที่ผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ ใช้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของฮาร์ดดิสก์ในปัจจุบัน คือการใช้หน่วยความจำแคช หรือบัฟเฟอร์ (Buffer) เพื่อเป็นที่พักข้อมูลก่อนที่จะส่งไปยัง คอนโทรลเลอร์บนการ์ด หรือเมนบอร์ด สำหรับหน่วยความจำแคชที่ว่านี้จะทำงานร่วมกับฮาร์ดดิสก์ โดยในกรณีอ่านข้อมูล ก็จะอ่านข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์ ในส่วนที่คาดว่าจะถูกใช้งานต่อไปหรือมีการเรียกใช้งานบ่อยครั้ง มาเก็บไว้ล่วงหน้า ส่วนในกรณีบันทึกข้อมูล ก็จะรับข้อมูลมาก่อน เพื่อเตรียมที่จะเขียนลงไปทันทีที่ฮาร์ดดิสก์ว่าง แต่ทั้งหมดนี้จะทำอยู่ภายในตัวฮาร์ดดิสก์เอง โดยไม่เกี่ยวข้องกับซีพียูหรือแรมแต่อย่างใด หน่วยความจำแคชนี้ในฮาร์ดดิสก์รุ่นเก่าๆ ราคาที่ถูกมักจะมีขนาดหน่วยความจำเล็กตามลงไป เช่น 128 กิโลไบต์ หรือบางยี่ห้อก็จะมีขนาด 256-512 กิโลไบต์ แต่ถ้าเป็นรุ่นที่ราคาสูงขึ้นมา(ปัจจุบันนิยม) จะมีการเพิ่มจำนวนหน่วยความจำนี้เป็น 2 เมกะไบต์ไปจนถึง 8 เมกะไบต์ เลยทีเดียว ซึ่งจากการทดสอบพบว่า การมีขนาดหน่วยความจำแคช หรือ บัฟเฟอร์ที่เพิ่มขึ้น มีส่วนช่วยให้การทำงานของฮาร์ดดิสก์นั้นเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้นตามไปด้วย ถึงแม้กลไกการทำงานของฮาร์ดดิสก์รุ่นนั้นๆ จะช้ากว่าก็ตาม แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับลักษณะการทำงานของโปรแกรมที่มีการเรียกใช้งานด้วยว่ามีการดึงทรัพยากรของระบบมากน้อยเพียงไร

4. การรับประกัน
อย่าลืมว่า ฮาร์ดดิสก์ เป็นอุปกรณ์ที่ต้องทำงานตลอดเวลาที่มีการเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ มีการเคลื่อนไหวต่างๆมากมายอยู่ภายในไดรฟ์และโอกาสที่จะเสียหายมีได้มาก โดยเฉพาะเรื่องของความร้อนและการระบายความร้อนที่ไม่ดีในเครื่อง ก็เป็นสาเหตุสำคัญของการเสียหาย นอกจากนี้การเกิดกระแทกแรงๆ ก็เป็นสาเหตุหลักของการเสียหายที่พบได้บ่อยครั้ง ดังนั้น ปัจจัยที่ค่อนข้างสำคัญในการเลือกซื้อฮาร์ดดิสก์ คือ เรื่องระยะเวลาใน การรับประกัน สินค้า และระยะเวลาในการส่งเคลม โดยสังเกตจาก Void รับประกัน ซึ่งห้ามแกะออกเป็นเด็ดขาดไม่อย่างนั้นอาจทำให้ท่านเสียใจเพราะส่งเคลมไม่ได้


โดยทั่วไปแล้วฮาร์ดดิสก์ส่วนใหญ่จะมีการรับประกันอยู่ในช่วง 1 หรือ 3 ปี ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ได้มีผู้ผลิตบางราย เช่น Seagate ปรับเปลี่ยนระยะเวลาโดยขยายเป็น 5 ปี จุดนี้ก็เป็นข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งที่มีให้ผู้ใช้อุ่นใจ ดังนั้นการเลือกซื้อควรเลือกระยะเวลารับประกันนานหน่อยเพราะคุ้มค่ากว่าการซื้อฮาร์ดดิสก์มาเปลี่ยนใหม่ เนื่องจากฮาร์ดดิสก์ที่เราจะนำใช้งานนั้น หาความแน่นอนไม่ได้ วันดีคืนดี ฮาร์ดดิสก์เจ้ากรรมอาจเสียลงไปดื้อๆ หากแต่ว่าฮาร์ดดิสก์ของท่านยังอยู่ในช่วงรับประกันก็ยังอุ่นใจได้ เพราะสามารถส่งซ่อมหรือแลกเปลี่ยนได้ แต่การรับประกันจะไร้ค่าลงไปทันทีเมื่อสัญลักษณ์ของการรับประกันฉีกขาด หรือถูก ลอกออกไป ฉะนั้นควรระมัดระวังไว้ด้วย การรับประกันในที่นี้ก็อาจจะต้องดูด้วยนะครับว่าเป็นการรับประกันจากที่ไหน จากร้านค้า หรือว่าจากดีลเลอร์ต่างๆ โดยจุดนี้ให้ดูถึงความมั่นคงของร้านด้วย ซึ่งถ้าหากร้านเกิดปิดกิจการไปล่ะยุ่งเลยเพราะไม่สามารถที่จะส่งคืนได้

จากสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเทคนิคการเลือกซื้อฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ที่แม้ไม่ใช้มืออาชีพแต่ก็ได้เรียนรู้ว่าต้องดูอะไรบ้างในการเลือกซื้อทำให้แนวทางในการเลือกซื้อดูสดใสขึ้นครับ ทว่าฮาร์ดดิสก์ที่เลือกซื้อโดยส่วนใหญ่นั้นเป็น OEM จึงไม่ต้องสนใจกับสิ่งที่แถมมามากนัก(เพราะมันไม่มีมาให้นอกจากไดรฟฺ์เปล่าๆ) นอกจากจำชื่อร้านและตัวแทนจำหน่ายที่จำหน่ายสินค้าให้กับเราไว้ให้ดีเท่านั้น เผื่อมีการติดต่อเมื่อมาส่งเคลมหรือเปลี่ยนสินค้าได้ในภายหลังครับ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://atcloud.com/stories/23868

การรักษาความปลอดภัยระบบเครือข่าย

Posted by KM IT วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2553, under | 0 ความคิดเห็น


ในระบบเครือข่ายนั้นจะมีผู้ร่วมใช้เป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงมีทั้งผู้ที่ประสงค์ดีและประสงค์ร้ายควบคู่กันไป สิ่งที่พบเห็นกันบ่อยๆ ในระบบเครือข่ายก็คืออาชญากรรมทางด้านเครือข่ายคอมพิวเตอร์หลายประเภทด้วยกัน
เช่น พวกที่คอยดักจับสัญญาณผู้อื่นโดยการใช้เครื่องมือพิเศษจั๊มสายเคเบิลแล้วแอบบันทึกสัญญาณ พวกแคร๊กเกอร์
(Crackers) ซึ่งได้แก่ ผู้ที่มีความรู้ความชำนาญด้านคอมพิวเตอร์แต่มีนิสัยชอบเข้าไปเจาะระบบคอมพิวเตอร์ผ่าน
เครือข่าย หรือไวรัสคอมพิวเตอร์ (Virus Computer) ซึ่งเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เขียนขึ้นมาโดยมุ่งหวัง
ในการก่อกวน หรือทำลายข้อมูลในระบบ
การรักษาความปลอดภัยในระบบเครือข่ายมีวิธีการกระทำได้หลายวิธี คือ
1. ควรระมัดระวังในการใช้งาน การติดไวรัสมักเกิดจากผู้ใช้ไปใช้แผ่นดิสก์ร่วมกับผู้อื่น แล้วแผ่นนั้นติดไวรัสมา
หรืออาจติดไวรัสจากการดาวน์โหลดไฟล์มาจากอินเทอร์เน็ต
2. หมั่นสำเนาข้อมูลอยู่เสมอ การป้องกันการสูญหายและถูกทำลายของข้อมูลที่ดีก็คือ การหมั่นสำเนา
ข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ
3. ติดตั้งโปรแกรมตรวจสอบและกำจัดไวรัส วิธีการนี้ สามารตรวจสอบ และป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์ได้
ระดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่เป็นการป้องกันได้ทั้งหมด เพราะว่าไวรัสคอมพิวเตอร์ได้มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา
4. การติดตั้งไฟร์วอลล์ (Firewall) ไฟร์วอลล์จะทำหน้าที่ป้องกันบุคคลอื่นบุกรุกเข้ามาเจาะเครือข่ายในองค์กร
เพื่อขโมยหรือทำลายข้อมูล เป็นระยะที่ทำหน้าที่ป้องกันข้อมูลของเครือข่าย โดยการควบคุมและตรวจสอบการรับส่ง
ข้อมูลระหว่างเครือข่ายภายในกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
5. การใช้รหัสผ่าน (Username & Password) การใช้รหัสผ่านเป็นระบบรักษาความปลอดภัยขั้นแรก
ที่ใช้กันมากที่สุด เมื่อมีการติดตั้งระบบเครือข่ายจะต้องมีการกำหนดบัญชีผู้ใช้และรหัสผ่าน หากเป็นผู้อื่นที่
ไม่ทราบรหัสผ่านก็ไม่สามารถเข้าไปใช้เครือข่ายได้ หากเป็นระบบที่ต้องการความปลอดภัยสูงก็ควรมีการเปลี่ยน
รหัสผ่านบ่อย ๆ เป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง


ที่มา : http://www.skn.ac.th/a_cd/internet/safety.html

อินเตอร์เน็ต และ อินทราเน็ต แตกต่างกันอย่างไร



อินเทอร์เน็ต (Internet) อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วโลก ซึ่งมีคอมพิวเตอร์เป็นล้าน ๆ เครื่องเชื่อมต่อเข้ากับระบบและยังขยายตัวขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี อินเทอร์เน็ตมีผู้ใช้ทั่วโลกหลายร้อยล้านคน และผู้ใช้เหล่านี้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันได้อย่างอิสระ โดยที่ระยะทางและเวลาไม่เป็นอุปสรรค นอกจากนี้ผู้ใช้ยังสามารถเข้าดูข้อมูลต่าง ๆ ที่ถูกตีพิมพ์ในอินเทอร์เน็ตได้ อินเทอร์เน็ตเชื่อมแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นองค์กรธุรกิจ มหาวิทยาลัย หน่วยงานของรัฐบาล หรือแม้กระทั่งแหล่งข้อมูลบุคคล องค์กรธุรกิจหลายองค์กรได้ใช้อินเทอร์เน็ตช่วยในการทำการค้า เช่น การติดต่อซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตหรืออีคอมเมิร์ช (E-Commerce) ซึ่งเป็นอีกช่องทางหนึ่งสำหรับการทำธุรกิจที่กำลังเป็นที่นิยม เนื่องจากมีต้นทุนที่ถูกกว่าและมีฐานลูกค้าที่ใหญ่มาก ส่วนข้อเสียของอินเทอร์เน็ตคือ ความปลอดภัยของข้อมูล เนื่องจากทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลทุกอย่างที่แลกเปลี่ยนผ่านอินเทอร์เน็ตได้ อินเทอร์เน็ตใช้โปรโตคอลที่เรียกว่า “TCP/IP (Transport Connection Protocol/Internet Protocol)” ในการสื่อสารข้อมูลผ่านเครือข่าย ซึ่งโปรโตคอลนี้เป็นผลจากโครงการหนึ่งของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ โครงการนี้มีชื่อว่า ARPANET (Advanced Research Projects Agency Network) ในปี ค.ศ.1975 จุดประสงค์ของโครงการนี้เพื่อเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ที่อยู่ห่างไกลกัน และภายหลังจึงได้กำหนดให้เป็นโปรโตคอลมาตรฐานในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ในปัจจุบันอินเทอร์เน็ตได้กลายเป็นเครือข่ายสาธารณะ ซึ่งไม่มีผู้ใดหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง การเชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ตต้องเชื่อมต่อผ่านองค์กรที่เรียกว่า “ISP (Internet Service Provider)” ซึ่งจะทำหน้าที่ให้บริการในการเชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ต นั่นคือ ข้อมูลทุกอย่างที่ส่งผ่านเครือข่าย ทุกคนสามารถดูได้ นอกเสียจากจะมีการเข้ารหัสลับซึ่งผู้ใช้ต้องทำเอง



อินทราเน็ต ตรงกันข้ามกับอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ตเป็นเครือข่ายส่วนบุคคลที่ใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต เช่น เว็บ, อีเมล, FTP เป็นต้น อินทราเน็ตใช้โปรโตคอล TCP/IP สำหรับการรับส่งข้อมูลเช่นเดียวกับอินเทอร์เน็ต ซึ่งโปรโตคอลนี้สามารถใช้ได้กับฮาร์ดแวร์หลายประเภท และสายสัญญาณหลายประเภท ฮาร์ดแวร์ที่ใช้สร้างเครือข่ายไม่ใช่ปัจจัยหลักของอินทราเน็ต แต่เป็นซอฟต์แวร์ที่ทำให้อินทราเน็ตทำงานได้ อินทราเน็ตเป็นเครือข่ายที่องค์กรสร้างขึ้นสำหรับให้พนักงานขององค์กรใช้เท่านั้น การแชร์ข้อมูลจะอยู่เฉพาะในอินทราเน็ตเท่านั้น หรือถ้ามีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับโลกภายนอกหรืออินเทอร์เน็ต องค์กรนั้นสามารถที่จะกำหนดนโยบายได้ ในขณะที่การแชร์ข้อมูลอินเทอร์เน็ตนั้นยังไม่มีองค์กรใดที่สามารถควบคุมการแลกเปลี่ยนข้อมูลได้


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://wiki.nectec.or.th/dpu/CC613Students/SutassanaReport
http://www.chaiwbi.com/anet01/p01/p011/lan.jpg
http://www.courseware.ssru.ac.th/151/subject/4000107/4000107/pic/internet01.gif

เบื่อพวกเบาปัญญา

ตอนแรก ก็บอกให้ ทักษิณ ออกไป จะได้สงบ แต่พอออกไปแล้ว ก็จะให้กลับ พอจะกลับก็กลัวจะโดนปลุกระดม
คนที่ไร้สมองยังคิดได้เลย คนที่พูดอย่างนี้ คือคนพาล คนเลว คนกลับกลอก แล้วคนที่สนับสนุนคนพวกนี้ ก็คือคนที่ไร้สมอง ที่สุด
ผมไม่ได้เข้าข้างใคร แต่อยากให้รู้ว่า ผมโครตเกลียดคนที่รู้ไม่จริง แล้วอวดฉลาด ว่าคนโน้น ชื่นชมคนนี้ ถ้าไม่มีคนพูดให้ฟังก่อน คนพวกนี้จะคิดออกมั้ย จะคิดออกด้วยปัญญาตัวเองมั้ย เคยคิดมั้ยว่า คำพูดเหล่านั้น เป็นจริงเท็จ หรือ น่าเชื่อถืออย่างไร
อันล่าสุด ที่อังกฤษ เขาถอนวีซ่า ก็วิจารณ์กันอยู่ได้ ว่าผิดอย่างโน้น สมน้ำหน้าอย่างนี้ ผมขอถุามหน่อยเหอะ ถ้าอังกฤษ เขาเห็นด้วยจริง
ทำไมเขา พูดว่า "ไม่ขอบอกเหตุผลที่ถอน"
ทำไมเขา ไม่ถอน ตั้งแต่แรกๆ
ทำไมเขาต้อง ออกมาพูดก่อนหน้านี้ว่า "จะไม่มีการส่ง ทักษิณ กลับประเทศเด็ดขาด"
สมองมีไม่คิด ไม่ใช่มีไว้ฟัง

บทความโดย นายอลงกรณ์ ภักดีณรงค์ 51116940014

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ USB

Posted by KM IT วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553, under | 0 ความคิดเห็น
USB ย่อมาจาก Universal Serial Bus เป็นพอร์ท หรือช่องทางในการสื่อสาร หรือเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Printer, Modem, Mouse, Keyboard, Digital Camera และอื่นๆ อีกมากมาย ถือว่าเป็น port ที่สำคัญและนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน

USB เริ่มต้นมีการใช้งานจะมีรุ่น USB 1.1 ต่อมาได้มีการพัฒนาให้มีความเร็วสูงขึ้น โดยเปลี่ยนเป็นเวอร์ชั่น USB 2.0 โดยมีรายละเอียดดังนี้

USB เวอร์ชั่น 1.1 มีความเร็วในการรับส่งข้อมูล 12 Mbits ต่อวินาที

USB เวอร์ชั่น 1.1 มีความเร็วในการรับส่งข้อมูล 12 Mbits ต่อวินาที
USB เวอร์ชั่น 2.0 มีความเร็วในการรับส่งข้อมูล 480 Mbits ต่อวินาที
ข้อควรระวังในการเลือกซื้อ USB 2.0 Full Speed แะล USB 2.0 Hi-Speed
USB เวอร์ชั่น 2.0 Full Speed มีความเร็วในการรับส่งข้อมูล 12 Mbits ต่อวินาที
USB เวอร์ชั่น 2.0 Hi-Speed มีความเร็วในการรับส่งข้อมูล 480 Mbits ต่อวินาที
การ ใช้งาน USB พอร์ต USB เป็นพอร์ทที่มีการใช้กระแสไฟด้วย ดังนั้นหลังการใช้งาน หรือการถอดสาย USB ออกจากเครื่องคอมฯ เราจำเป็นจะต้องมีการเรียกใช้สั่ง "Safely Remove Hardware" หรือ "Unplug or Eject Hardware" เสียก่อน โดยมีขั้นตอนสั้นๆ ดังนี้
ดับเบิลคลิกเลือกที่รูปลูกศรสีเขียว ที่บริเวณ TaskBar
หรือคลิกขวาเลือก Safely Remove Hardware หรือ Unplug or Eject Hardware (แล้วแต่ Windows แต่ละเวอร์ชั่น)
เลือกอุปกรณ์ที่ต้องการยกเลิก
จากนั้นคลิกปุ่ม Stop
แค่นี้ก็สามารถถอดอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อได้แล้ว

บทความโดย นายบุญญฤทธิ์ ทองฤทธิ์ รหัสนักศึกษา 51116940021

การดูแลรักษาโน๊ตบุ๊กให้มีอายุยาวนานและคุ้มค่ากับการใช้งานที่สุด



1. จอภาพ เป็นส่วนสำคัญในการแสดงผล ห้ามใช้มือสัมผัสกันหน้าจอโดยตรง ระวังอย่าให้อะไรมากระแทกหน้าจอได้ การดูแลรักษาไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาเคมีอะไรหรอกครับ ตัวที่สำคัญที่สุดคือ ผ้าไมโครไฟเบอร์ของ 3M แพงมาก ผืนนิดเดียว 169บาท แต่เชื่อแถอะคุ้มสุดๆผมน่ะคิดตัง้นานกว่าจะตัดสินใจซื้อใช้แต่เสื้อยืดเช็ดแต่พอซื้อมาใช้จริงๆสุดยอดมากครับไม่เวอร์น่ะเช็ดที่เดียวเบาๆคราบต่างๆหลุดหมดเลย ถ้าเป็นคราบบางคราบที่เช็ดแห้งๆไม่ออกก็เอาผ้าไปชุบน้ำอุ่นเช็ดก่อนแล้วเอาส่วนที่แห้งเช็ดเบาๆจนหน้าจอแห้งสนิทแค่นี้ก็พอแล้ว สิ่งสำคัญคือถ้าหน้าจอเปื้อนให้เช็ดทันทีหากทิ้งไว้จะเช็ดออกยากแล้วเราต้องออกแรงมากขึ้นจนทำให้สารที่เคลือบมาจากโรงงานหลุดออกได้และแรงอาจทำให้เกิดจุดเสียของจอภาพได้(จอแพงมากเปลี่ยนที่เจ็ดพันอัพ)

2. คีย์บอร์ด เรื่องนี้เจอกับตัวเลยครับพี่ชายกินกาแฟข้างโน๊ตบุ๊กเครื่องแรกคว้ำใส่คีย์บอร์ด พังเลยครับกดไม่ได้ หาเปลี่ยนก็ไม่มี ทิ้งเลยโน๊ตบุ๊กใช้ได้ไม่ถึงปี หลักๆก็อย่ากินอะไรใกล้ๆโน๊ตบุ๊กวางโต๊ะคนล่ะตัวปลอดภัยสุด เวลามือเปียกก็เช็ดให้แห้งก่อนใช้ แล้วหมันใช้เครื่องดูดฝุ่นกับแปลงเล็กๆทำความสะอาดคีย์บอร์ดคีย์บอร์ดแล้วใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์เช็ดทำความสะอาดแค่นี้ก็แจ่มแล้ว

3. พอร์ทต่างๆ อันนี้สำคัญมากแต่คนมั๊กล่ะเลยพี่ชายผมอีกแล้วอันนี้เครื่องใหม่เวลาเสียบอุปกรต่างๆอย่างยู้เอสบีค่อยๆเสียบค่อยๆถอดอย่าโยกยูเอสบีพี่ผมพังไปแล้วหนึ่งพอร์ทเอาแปลงปัดฝุ่นออกบ้างด้วย

4. แบตเตอร์รี่ อันนี้เป็นสุดยอดของการถกเถียงกันในวงการโน๊ตบุ๊กเลย บ้างก็บอกว่าเวลาเสียบปลั๊กถอดแบตออกดีกว่าบ้างก็ว่าใส่แบตดีกว่า แต่ความคิดส่วนตัวผมคิดว่าการถอดแบตดีที่สุดแต่ก็ถกเถียงกันอีกว่าแบตเตอรี่ป้องกันไฟกระชากได้ จริงหรือไม่ยังไม่ได้รับการยืนยันแต่ที่แน่ๆคือช่วยเซฟงานเวลาไฟดับได้แน่นอน ผมจึงสรุปเทคนิคว่า เวลาชาร์ตเต็มแล้วถอดแบตออกเสียบไฟผ่าน UPS ดีที่สุดครับเพราะตัวแค่พันกว่าบาทถูกกว่าแบตแยะเลยใช้ได้หลายปีป้องกันไฟกระชากได้แน่นอนไฟดับก็ได้ด้วย

เทคนิคในการบำรุงรักษา แบตเตอรี่



แบตเตอรี่โนตบุคในปัจจุบัน ใช้แบตเตอรี่ Lithium-ion (Li-ion) ซึ่งเป็นแบตเตอรี่ดีกว่าแบตเตอรี่ประเภท Nickel-Metal Hydride (NiMH) หรือ Nickel Cadmium (NiCd) ในสมัยก่อนเป็นอย่างมาก โดยมีน้ำหนักน้อยกว่า คุณภาพของแบตเตอรี่ที่สูงกว่า และไม่มีผลกระทบจากปรากฎการณ์ Memory Effect อย่างไรก็ตามคุณสามารถยืดระยะเวลาของแบตเตอรี่ให้สามารถใช้งานไปได้นานที่สุด ด้วยเทคนิคการรักษาแบตเตอรี่ ดังนี้ครับ



1. แบตเตอรี่ใหม่ต้องการชาร์จให้เต็มที่ก่อนที่จะใช้งาน

เพื่อที่จะให้แบตเตอรี่ของคุณสามารถใช้งานได้เป็นระยะเวลานาน ควรทำการชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มก่อนการใช้ครั้งแรก และในการใช้งาน 3 ครั้งแรกนั้นควรทำการชาร์จให้เต็มก่อนใช้งาน และทำการใช้งานจนหมดก่อนการชาร์จครั้งต่อไป



2. ตั้งมาตรฐานแบตเตอรี่ทุกๆ เดือน

แบตเตอรี่ส่วนใหญ่นั้น จะถูกสร้างมาพร้อมกับ ระบบประมวลผลภายใน ซึ่งจะคอยจัดการการทำงานของแบตเตอรี่ เช่น จำนวนครั้งในการชาร์จ/ดิสชาร์จ ความจุสูงสุงแบตเตอรี่, จำนวนวงรอบการชาร์จ โดยความจุสูงสุดของแบตเตอรี่นั้น จะผิดพลาดได้ หลังจากถูกใช้งานมาเป็นเวลา 2-3 เดือน และการตั้งค่ามาตรฐานให้มันจะช่วย คืนประสิทธิภาพกลับมาได้



โดยขั้นตอนในการตั้งค่ามาตรฐานให้ แบตเตอรี่นั้นทำได้ตามขั้นตอนดังนี้


เสียบปลั๊กไฟ และทำการชาร์จแบตเตอรี่โนตบุคของคุณจนเต็ม เมื่อแบตเต็ม แล้วก็ทำการดึงปลั๊กไฟออก และใช้งานโนตบุคในแบตเตอรี่โหมด ยกเลิกการเตือนทุกอย่างใน Power Option ใน Control Panel เช่นการ Shut down, Stand by, Hibernation เมื่อแบตเตอรี่ต่ำกว่าที่กำหนด เมื่อใช้งานจนแบตเหลือต่ำกว่า 3% แล้ว ปิดโปรแกรมทุกอย่างลง และอนุญาตให้โนตบุคทำการShut down ลง เสียบปลั๊กโนตบุคคุณอีกครั้ง และชาร์จจนเต็ม เพียงเท่านี้โนตบุคของคุณก็ถูก ตั้งค่ามาตรฐานเรียบร้อยแล้วครับ



3. ใช้โนตบุคของคุณ ในสภาพที่เหมาะสม

โดยทั่วไปแล้ว แบตเตอรี่จะทำงานได้ดีที่สุด ที่ประมาณ 20 C. (68 F.) แต่ว่าช่วงอุณหภูมิระหว่าง 0-35 C.(32-95 F.) ก็ยังคงเป็นสภาพการใช้งานที่ดีเช่นกัน การใช้งานโนตบุคของคุณในสภาพที่ร้อนเกินไปหรือ เย็นเกินไปสามารถลดประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ลงได้ และยังมีผลลบกับอายุการใช้งานของแบตเตอรี่อีกด้วย



เก็บแบตเตอรี่ของคุณไว้ในที่ที่เหมาะสม เมื่อไม่ได้ใช้งาน

ถ้าคุณคิดว่า คุณจะไม่ได้ใช้โนตบุคไปอีกซักเดือน หรือมากกว่านั้น ผมขอแนะนำว่าควรเก็บแบตเตอรี่แยกเอาไว้ในสถานที่ ที่สะอาด แห้ง และเย็น และให้แน่ใจว่า มีพลังงานคงเหลือประมาณ 70% ในระหว่างที่เก็บแบตเตอรี่นั้น ตัวแบตเองก็จะทำการ คลายประจุออกอย่างช้าๆ ดังนั้นผมไม่ขอแนะนำให้ทำการเก็บแบตเตอรี่ไว้นานๆ (เกินกว่า 3 เดือน) เพราะจะมีผลกระทบต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่ได้ครับ




ข้อมูลเพิ่มเติม



1. แบตความจุสูง กับแบตเตอรี่สำรอง

โนตบุคหลายๆรุ่น มี แบตเตอรี่ความจุสูง เป็นอุปกรณ์เสริม ซึ่งเราต้องทำการซื้อเพิ่มเป็นแบตอีกตัวนึง ซึ่งเราจะได้ประโยชน์จากอุปกรณ์นี้ เมื่อเราใช้งานแบบไม่ได้เสียบปลั๊กบ่อยๆ



2. เปลี่ยนแบตเตอรี่

แบตเตอรี่ที่ถูกใช้อย่างถูกวิธีจะสามารถ ใช้งานได้มากกว่า 300 รอบการชาร์จ และดิสชาร์จ คุณสามารถทำการซื้อแบตเตอรี่ใหม่ได้ เมื่อแบตตัวเก่าของคุณ ไม่สามารถใช้งานได้ตามต้องการอีกแล้ว โดยอาการนี้สังเกตได้โดยระยะเวลาการใช้งานสั้นลงมาก แม้ว่าเราจะทำการตั้งค่ามาตรฐานแล้วก็ตามที



3. รีไซเคิล แบตเตอรี่

กรุณา อย่าทิ้ง แบตเตอรี่โนตบุค ตัวเก่าลงในถังขยะ เพราะว่ามันสามารถทำมลพิษให้แก่สิ่งแวดล้อมได้ แบตเตอรี่ควรถูก รีโซเคิลหรือกำจัดอย่างถูกต้อง ผ่านเทศบาลหรือโปรแกรมการขายของบริษัท



4. วงรอบการใช้งานแบตเตอรี่

ปกติแล้วการนับวงรอบการใช้งานของแบตเตอรี่นั้น จะทำการนับเมื่อทำการชาร์จรวมๆ แล้วมากกว่า 80% (ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของแบตเตอรี่นั้น) โดยวิธีการนับคือ เมื่อคุณใช้งานแบตเตอรี่ไป จนเหลือ 80% แล้วทำการรีชาร์จ แบตก็จะไม่นับการชาร์จนี้เข้าไปใน วงรอบการชาร์จ เพราะยังชาร์จไม่ถึง 80% แต่ถ้าคุณทำอย่างนี้ครบ 4 ครั้งนั้นแสดงว่า คุณชาร์จครบ 80% แล้วแบตเตอรี่ของคุณก็จะเพิ่มค่าวงรอบการใช้งานเพิ่มขึ้นอีก 1 แต้มครั



5. ความร้อน โน๊ตบุ๊กมิใช่พีซีที่จะเอาไว้เล่นเกมนานๆหลายชั่วโมงได้ควรให้มันได้พักบ้าง ใช้คูลแพทแท่นรองที่มีพัดลมแหละครับตัวถูกร้อยกว่าบาทผมทดสอบแล้วว่าลดอุณหภูมิได้ประมาณ 2-4องศาห์ แต่ถ้าเป็นตัวที่ใช้วัสดูอย่างดีเช่นอลูมิเนียมแทนที่จะเป็นพลาสติกเนี่ยลดได้อีกมากโขเลยครับ อุณหภูมิที่ไม่สูงเกินไปยิ่งช่วยลดอัตราเสื่อมของอุปกรณ์ภายในโน๊ตบุ๊กอีกโขเลยครับ

6. อื่นๆ เสียบปลั๊กอแดปเตอร์ก่อนเสียบเข้าโน๊ตบุ๊ก ห้ามโดนน้ำ เคลื่อนย้ายโดยกระเป๋าโน๊ตบุ๊กโดยเฉพาะพวกซอฟเคสนี้เลี่ยงไปเลย หมั่นทำความสะอาดบ่อย พวกช่องระบายความร้อนด้วยครับระวังอย่าให้มีฝุ่นมาอุดตันและอย่าเอาทิ้งไว้ที่หอน่ะจ๊ะเดี๋ยวคนอื่นจะเอาไปใช้แล้วเราต้องผ่อนกล่อง


อ้างอิงข้อมูลจาก : http://notebookuser.exteen.com/20080611/entry

บทบาทของ E – Commerce ในอนาคต




พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ E – Commerce คือ การทำธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ในทุกช่องทางที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การซื้อขายสินค้าและบริการ การโฆษณาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ โทรทัศน์ วิทยุ หรือแม้แต่อินเทอร์เน็ต เป็นต้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดค่าใช้จ่าย และเพื่มประสิทธิภาพขององค์กร โดยการลดบทบาทองค์ประกอบทางธุรกิจลง เช่น ทำเลที่ตั้ง อาคารประกอบการ โกดังเก็บสินค้า ห้องแสดงสินค้า รวมถึงพนักงานขาย พนักงานแนะนำสินค้า พนักงานต้อนรับลูกค้า เป็นต้น จึงลดข้อจำกัดของระยะทาง และเวลาลงได้
ในปัจจุบัน การค้าอีเล็กทรอนิกส์มีการพัฒนาไปแล้วในบางส่วนบางองค์กร เนื่องจาก การค้าอีเล็กทรอนิกส์นั้นสามารถลดต้นทุนในการทำธุรกิจไปได้เยอะ ทำให้ในสภาวะที่ เศรษกิจตกต่ำ คน หรือ บริษัท ต่างๆหันมาใช้ อินเตอร์เน็ตมากขึ้นและในปัจจุบันประชากรเกือบ 70 % รู้จักและใช้อินเตอร์เน็ตเป็น ทำให้ การค้าอีเล็กทรอนิกส้เปิดกว้างไม่ว่าจะเป็นในประเทศ หรือ ต่างประเทศ
และที่สำคัญการค้าอีเล็กทรอนิกส์ ไม่ได้อยากอย่างที่ทุกๆคนคิด การค้าอีเล็กทรอนิกส์นั้น มีขั้นตอนพื้นฐาน ไม่มากไม่มายเลย
1. ลูกค้า เลือกรายการสินค้า ของผู้จำหน่าย (Catalog)
2. ลูกค้า ส่งคำสั่งซื้อ ให้ผู้จำหน่าย (Order)
3. ลูกค้า ชำระเงิน ให้ผู้จำหน่าย (Payment)
4. ลูกค้า รอรับสินค้า จากผู้จำหน่าย (Shipping)
ประโยชน์ของ E -Commerce
1. ไม่ต้องมีพนักงานนั่งประจำ เพราะสามารถให้บริการแบบอัตโนมัติได้
2. สามารถเปิดขายได้ตลอด 7 วัน ๆ ละ 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด
3. สามารถเก็บเงิน และโอนเงินเข้าบัญชีบริษัทอัตโนมัติ
4. ตอบสนองนักลงทุนได้ทุกระดับ ตั้งแต่มืออาชีพทุนหนา ไปถึงมือใหม่ทุนน้อย
5. ประหยัดค่าพิมพ์เอกสารแนะนำสินค้า เพราะรายละเอียดทั้งหมด เสนอผ่านเว็บ
ในอนาคต คนเราจะรู้จักอินเตอร์เน็ตมากขึ้น อินเตอร์เน็ตจะแพร่ไปในหลายแบบหลายทาง ไม่ว่าจะเป็นทาง คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ โน้ตบุก ซึ่งจากผลเหล่านี้ทำให้ ตลาดการค้าอีเล็กทรอนิกส์ สามารถเข้าถึงทุกๆคนได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

บทความโดย นายมนัสวี อยู่ยอด รหัสนักศึกษา 51116940057

10 เทคนิคการซ่อมคอมพิวเตอร์ด้วยตัวเอง




1. บันทึกทุกอย่างเก็บไว้ แม้ว่าการใช้คอมพิวเตอร์ จะทำให้สามารถที่จะทิ้งเอกสารกองโต ออกไปจากโต๊ะทำงาน ได้ก็ตาม แต่ก่อนที่ทิ้งทุกอย่างไป ควรจะทำการหาวิธีในการเก็บข้อมูลเหล่านั้นไว้ เผื่อในกรณีที่อาจเกิดปัญหา ในอนาคต ยอมเสียเวลาสักเล็กน้อยกรอกแบบฟอร์มต่าง ๆ ให้เรียบร้อย ซึ่งผู้ผลิตคอมพิวเตอร์บางราย ก็ให้มีการลงทะเบียนกันแบบออนไลด์ แต่อย่าลืมพิมพ์สำเนาออกมาเก็บรวมไว้กับใบเสร็จรับเงิน เก็บใบเสร็จ รับเงินและใบรับประกันทุกอย่างไว้ให้ดี โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่มีการรับประกันแยกต่างหากออกไปไม่รวมกับ ตัวเครื่อง เช่น โมเด็ม , ซีพียู , เมนบอร์ด , จอ และอื่น ๆ

2.ทำการบ้านก่อนเลือกซื้อ ตอนที่ซื้อคอมพิวเตอร์ ควรจะต้องนึกถึงการซ่อมแซมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ในการเลือกซื้อก็ต้องคิดอยู่เสมอว่า บางร้านรับซ่อมจะมีการคิดค่าตรวจสอบเครื่องด้วย ไม่ว่าเครื่องจะอยู่ใน ประกันหรือไม่ก็ตาม ก่อนซื้อคงจะต้องทำการบ้านกันให้ดีในเรื่องของประกันที่บริษัทมีให้ ไม่ว่าจะในเรื่องประกัน การขยายระยะประกัน หรือว่าค่าธรรมเนียมต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณประหยัดทั้งเงินและเวลาได้ในอนาคต

3.จดบันทึกอาการเสีย เมื่อคอมพ์พิวเตอร์มีอาการผิดปกติขึ้น ให้จดบันทึกอาการต่างไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Error Messages ต่างๆ ซึ่งจะมีประโยชน์และจะมีส่วนช่วยช่าง หรือผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์สาเหตุเสียได้มาก ให้จดบันทึกอาการที่เกิดขึ้นให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่ช่างจะได้ซ่อมได้เร็วและตรงจุด โดยทั่วไปแล้ว คำถามที่ช่างหรือคนที่จะช่วยเหลือคุณมักจะถามเช่น จอภาพแสดงอาการอย่างไร หรือ Error massage ที่เกิดขึ้นคืออะไร เป็นต้น ถ้าคุณสามารถที่จะตอบคำถามเหล่านี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อช่าง และคุณเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณปรึกษากับช่างผ่านทางโทรศัพท์ แลัก่อนที่จะตัดสินใจเลือกร้านซ่อมก็ให้ตรวจระยะเวลา ประกันของคอมพิวเตอร์และบรรดาอุปกรณ์ต่อพ่วงต่าง ๆ ให้ดี

4.สำรวจให้ทั่ว ๆ การนำเครื่อคอมพิวเตอร์ไปซ่อมกับบริษัทที่คุณซื้อมาก็ไม่ใช้ว่าจะเป็นวิธีที่ดีเสมอไป เพราะบางครั้งถ้าศึกษาให้ดี ๆ อาจพบว่า ซ่อมกับบริษัทอาจทำให้คุณต้องเสียทั้งเงินและเวลา มากกว่าที่ตวรเป็นก็ได้ วิธีที่น่าจะดีกว่า ก็คือลองสำรวจร้านอื่น ๆ ดูไม่ว่าจะเป็นร้านเล็กหรือใหญ่ ตรวจสอบข้อมูลเรื่องเวลาและราคาในการซ่อมเช่น ค่าตรวจเครื่อง ค่าแรง หรือค่าซ่อมนอกสถานที่ (ในกรณีที่ต้องการให้ช่างมาซ่อมที่บ้าน) เป็นต้น ร้านเล็ก ๆ บางครั้งให้ความสำคัญเป็นกันเองกับลูกค้ามากกว่า ร้านใหญ่ ๆ เนื่องจากมีความต้องการอยู่รอดในการแข่งขันกับร้านใหญ่ ๆ ในขณะเดินสำรวจร้านต่าง ๆ อยู่ให้ลองสังเกคร้านที่ติดโลโก้ยี่ห้อดังเช่น ไอบีเอ็ม , คอมแพค , เป็นต้น ซึ่งมันอาจเป็นไปได้ว่า ร้านนั้น ๆ รับซ่อมเครื่องที่อยู่ในประกันของยี่ห้อนั้น ๆ แต่อย่างไรก็ตามร้านที่รับซ่อมคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จะรับซ่อม เครื่องทุกยี่ห้ออยู่แล้ว

5.ค้นหาบริการทางโทรศัพท์ บางกรณีอาจเป็นการไม่สะดวกที่จะเดินทางไปซ่อมที่ร้านโดยตรง การไปโทรศัพท์ไปปรึกษาจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เมื่อคุณเริ่มโทรศัพท์หาร้านซ่อม ให้ลองสังเกตพฤติกรรมต่าง ๆ ที่คุณได้รับทางโทรศัพท์ เช่นต้องรอสายนานเท่าไร เต็มใจช่วยเหลือหรือไม่ แค่นี้ก็เป็นการช่วยตัดสินใจได้ว่า ควรซ่อมกับร้านนั้นหรือไม่ แล้วอย่าลืมจดชื่อรุ่นหรือ Serial Number ของคอมพิวเตอร์ไว้เพื่อความสะดวก หรือจะโทรไปรายการ 94 FM ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 14:00-15:00 ที่นี้รับตอบปัญหาทุกเรื่องดีมากเลย

6.ค่าธรรมเนียม เมื่อยกเครื่องคอมพิวเตอร์ไปซ่อมเป็นธรรมดาที่ช่างจะสำรวจดูว่ามีอะไรบ้างที่ต้องซ่อม ตั้งแต่สายไฟยันฮาร์ดดิส ซึ่งร้านจำเป็นจะต้องคิดค่าธรรมเนียมในการตรวจสอบนี้ แต่ก็มีบางร้านเหมือนกัน ที่ไม่คิด แต่ถ้าคุณพอมีความรู้เรื่องเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่บ้าง ก็อาจทดลองใช้โปรแกรม Norton Utility ตรวจสอบเครื่องของคุณก่อน บางที่อาจทำให้คุณไม่ต้องเสียเงินก็ได้ หรือบางที่คุณอาจโทรมาเรียกช่างมาซ่อม ที่บ้านก็ได้ แต่คุณจะต้องเสียเงินเพิ่มขึ้น

7.คิดในแง่ร้ายไว้ก่อน หลังจากที่เครื่องของคุณได้รับการตรวจสอบอาการจากหลาย ๆ ร้านซ่อมแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนในการตัดสินใจว่า จะซ่อมหรือไม่ซ่อมในร้านใดจึงจะดี ซึ่งบางครั้งร้านซ่อมอาจจะบอกว่าเครื่อง ไม่อยู่ในประกันแล้วหรืออะไหล่ชิ้นที่ต้องการไม่มีอีกต่อไปแล้ว ข่าวร้ายเหล่านี้เป็นแคเพียงขั้นเริ่มต้นใน การซ่อมคอมพิวเตอร์ของคุณ บางที่คุณอาจลองสอบถามร้านดูว่าสามารถจะเอาอะไหล่เก่าไปแลกอะไหล่ใหม่ ได้หรือไม่ ในกรณีอะไหล่ชิ้นเก่าเลิกผลิตไปแล้ว โดยอาจต้องเพิ่มเงินเล็กน้อย

8.เตรียมเครื่องให้พร้อมก่อนนำไปซ่อม ก่อนที่จะทิ้งเครื่องเอาไว้ที่ร้านเพื่อทำการซ่อมลองตรวจสอบว่าคุณได้ แบ็กอัพข้อมูลที่สำคัญเอาไว้ , จด Serial number ของฮาร์ดิสก์ , ซีดีรอม , โมเด็ม และอื่น ๆ ไว้เพื่อตรวจสอบกับอุปกรณ์ที่นำมาเปลี่ยน ลบข้อมูลส่วนตัวออกให้หมดเช่น อินเตอร์เน็ทพาสเวิร์ด เพื่อป้องกันถูกลักลอบนำไปใช้

9..ขอเอกสารการซ่อมจากร้าน ก่อนที่จะทิ้งเครื่องเอาไว้ที่ร้านอย่าลืมขอเอกสารที่บอกถึงชิ้นส่วนที่จะเปลี่ยน และระยะเวลาในการซ่อม ตรวจสอบเอกสารให้ละเอียดเพื่อป้องกันค่าใช้จ่านแอแฝง แล้วอย่าลืมถามถึงการ รับประกันหลังการซ่อม

10.ติดตามความคืบหน้า สิ่งสุดท้ายที่ต้องทำคือคอยโทรไปถามว่าการซ่อมไปถึงไหน เปลี่ยนอะไรบ้าง เสร็จทันกำหนดหรือไม่ และเมื่อไปรับเครื่อง ให้ทดสอบดูก่อนว่าเครื่องทำงานปกติหรือไม่ ก่อนนำเครื่องกลับ

อ้างอิงข้อมูลจาก : http://www.beartai.com/webboard/index.php?topic=7247.0

แนะนำเทคนิคใช้งาน Windows เบื้องต้น

1. ในขณะที่คุณกำลังจะ Restart เครื่องใหม่ ก่อนที่จะกดปุ่ม OK ให้คุณกด Shiftค้างไว้ จะทำให้คุณ Restart ได้เร็วขึ้น
2. ในบาง Web Site หากคุณกด Ctrl ค้างไว้ และเลื่อน Scroll ที่ Mouse จะทำให้ตัวอักษรของ Web Site นั้นใหญ่ขึ้น
3. หากกดปุ่ม Refresh หรือ F5 แล้วยังเป็นข้อมูลเดิม ลองกด Ctrl + F5 รับรองจะได้ข้อมูลที่ใหม่ล่าสุดแน่ๆ
4. คุณสามารถเปิดไฟล์ Tips.txt ขึ้นมาเพื่ออ่านเทคนิคต่างๆ ได้ ซึ่งไฟล์นี้จะอยู่ใน c:windows ของคุณ
5. ในระหว่างที่คุณกำหลังใช้งาน IE อยู่นั้น สามารถกดปุ่ม F4 เพื่อเป็นการเปิดดู URL List ในช่อง Address ได้เลย
6. การกดปุ่ม Esc ระหว่างการใช้ IE จะทำให้ IE ของคุณนั้นหยุดโหลดได้ โดยที่ไม่ต้องกดปุ่ม Stop
7. ระหว่างการใช้ IE สามารถกดปุ่ม Alt + D หรือ Ctrl + Tab เพื่อเข้า Address bar อย่างเร็วได้
8. คุณสามารถเพิ่มความเร็วให้กับ Internet ได้โดยทำการถอดสายเครื่องโทรศัพท์ ที่มีการต่อพ่วงอยู่กับสายที่ใช้ต่อ Internet ออก
9. คุณสามารถ ไปที่ Start -> Run และพิมพ์ว่า welcome กด Enter เพื่อเปิดหน้าต่างต้อนรับของ Windows ได้
10. ที่ Notepad หรือ ICQ หากคุณลืมเปลี่ยน Mode ภาษา ให้กดปุ่ม Ctrl + Back Space เพื่อแก้คำที่พิมพ์ผิดไปแล้ว
11. คุณสามารถ เปิด Folder Desktopอย่างรวดเร็ว โดย Start -> Run พิมพ์จุด (.) ลงไปแล้วกด Enter
12. ใน IE สามารถกด Space Bar เพื่อนเลื่อนหน้า Page ลงได้ ส่วนเลื่อนขึ้นคือ Shift + Space Bar
13. ใน Windows คุณไม่สามารถ สร้าง Folder ที่ชื่อ "con" ได้
14. ใน IE ที่ช่อง Address ปุ่ม Ctrl+Enter สามารถช่วยคุณ ในการพิมพ์ URL ได้เร็วยิ่งขึ้น
15. การกด Ctrl ค้างเอาไว้ ตอนเวลา BOOT เครื่อง จะทำให้คุณไม่พลาด Startup Menu
16. คุณสามารถปิดนาฬิกาที่ Taskbar ได้ โดยคลิกขวาที่ Task bar > Properties > เอาเครื่องหมาย Show Click ออก
17. หากคุณกด F11 ใน Windows Explorer จะช่วยให้มีการทำงานที่สะดวกขึ้น
18. ใน ICQ การส่ง Message หากคุณกด Ctrl+Enter จะสะดวก กว่าการ Click Mouse ที่ปุ่ม send
19. คุณสามารถกด F2 เพื่อ ใช้ในการเปลี่ยนชื่อ Icon ต่างๆ ได้
20. การกด F5 ใน NotePad จะเป็นการแทรก เวลา และวันที่ปัจจุบัน
21. การกด Windows + E จะเป็นเปิด Windows Explorer ขึ้นมา
22. เปิด System Properties อย่างรวดเร็วคือการกด Window + Pause Break
23. การย่อยทุกๆ หน้าต่างที่เปิดใช้งาน ให้ยุบไปให้หมด คือการกด Window +D ถ้าจะขยายคืนมาอีก ให้กดซ้ำ
24. การเคาะวรรคในโปรแกรม Dreamweaver คือ Shift + Ctrl + Space Barส่วนการเว้นบรรทัดคือ Shift + Enter
25. การลบไฟล์แบบ ไม่เก็บไว้ใน Recycle Bin คือ การกด Shift + Delete
26. การกด Shift ค้างไว้ เวลาใส่แผ่น CD-Rom จะเป็นการไม่ให้มันเปิด Autorunของแผ่น CD-Rom นั้นขึ้นมา
27. การ Restart เครื่องอย่างเร็ว คือ ไปที่ Start -> Shut Down... -> Restartจากนั้น ก่อนที่จะ OK ให้กด Shift ค้างเอาไว้
28. ในระหว่างใช้ Browser คุณสามารถกดปุ่ม Space Bar เพื่อเลื่อนหน้าลง และShift + Space Bar เพื่อนเลื่อนหน้าขึ้นได้
29. กด Shift + คลิก จะเป็นการเปิดหน้าต่างขึ้นมาใหม่ โดยไม่ต้อง back กลับ
30. คุณสามารถ ไปที่ Start -> Run และพิมพ์ว่า hwinfo /ui กด Enter เพื่อดูรายงานต่างๆ ของ HardWare

การเลือกซื้อเมนบอร์ด




ปัจจุบันในตลาดมีเมนบอร์ดให้เลือกอยู่หลากรุ่นหลายยี่ห้อ แม้ในซีรีส์ที่เป็นชิปเซตเดียวกัน ยังถูกจำแนกออกเป็นรุ่นต่างๆมากมายโดยมีฟีเจอร์หลักที่ไม่ต่างกันมากนัก แต่ด้วยการออกแบบลูกเล่นต่างๆประกอบเข้าไป เช่นชุดระบายความร้อนคุณภาพของชุดคาปาซิเตอร์ดีไซน์ ไบออส และคุณภาพ จึงกลายเป็นจุดขายที่แต่ละค่ายนำมาเสนอ ดังนั้นการเลือกใช้ต้องพิจารณาจากรูปแบบ ฟังก์ชันการใช้งานรวมถึงคุณภาพและราคาที่เหมาะกับผู้ใช้เป็นหลัก โดยเฉพาะในเรื่องของซิปเซตที่มีอยู่มากมายให้เลือกใช้ การเลือกเมนบอร์ดสำหรับการใช้งานให้ถูกใจนั้นมีหลักที่ควรพิจารณา 4 ข้อคือ

ซีพียูและซ็อกเก็ต
สำหรับปัจจุบัน ทาง Intel นั้นยังคงใช้ซ็อกเก็ต 775 อยู่เช่นเดิมไม่ว่าจะเป็น Celeron D,Pentiun 4,PentiunD,Core2Duo ไปจนถึง Core 2 Extremeและ Core 2 Quad และให้สังเกตบัสของซีพียูที่นำมาใช้ว่าเป็น FSB 800,1066หรือ1333ซึ่งชิปเซตในแต่ละรุ่นก็จะมีการสนับสนุนต่างกันออกไป
ส่วนทางAMD นั้น ซ็อกเก็ต AM2 ยังคงเป็นมาตรฐานในการใช้งาน แม้ว่าจะมีซีพียูรุ่นใหม่อย่าง Phenom ที่เป็นแบบ QuadCoreวางจำหน่ายซึ่งจะใช้งานกับAM2+แต่ก็สามารถนำมาใช้กับ AM2 ได้เช่นกัน เนื่องจากรูปแบบภายนอกไม่แตกต่างกัน แต่ถ้าต้องการฟีเจอร์ที่ครบถ้วน ก็ควรจะต้องใช้เมนบอร์ดที่เป็นAM2+ซึ่งเวลานี้เริ่มมีวางจำหน่ายในตลาดกันบ้างแล้วโดยซ็อกเก็ตAM2นี้ สามารถใช้งานร่วมกับซีพียูในซีรีส์ต่างๆ ของ AMD ได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นSempron64,Athlon64,Athlon64X2และAthlon64FX


มีฟังก์ชันต่างๆ ครบถ้วนตามที่ต้องการหรือไม่
ฟังก์ชันที่เป็นองค์ประกอบพื้นฐานไปจนถึงฟีเจอร์ต่างๆที่มีอยู่ในซิปเซต รวมถึงองค์ประกอบที่สำคัญของเมนบอร์ด ซึ่งประกอบไปด้วย

สล็อตของหน่วยความจำ แม้ว่าแนวโน้มราคาในตลาดจะตกลงมาพอสมควร เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่การเลือกแรมความสูงอย่าง2GBที่มีราคาสูงกว่า 1GBอยู่มากอาจเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลนัก หากต้องการใช้งานโดยทั่วไปดังนั้นแล้วการเลือกเมนบอร์ดที่มีสล็อตแรมที่มากถึง 4 ช่องแล้วเลือกแรมขนาด 1GBติดตั้งครั้งละ 1-2แถว และยังมีช่องสำหรับอัพเกรดได้ในอนาคต ก็ช่วยคุณประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้มากทีเดียว

สล็อตสำหรับกราฟิกการ์ด สำหรับผู้ใช้โดยทั่วไปสล็อต PCI-Express X16 เพียงช่องเดียว ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานอยู่แล้ว แต่สำหรับคอเกม นอกจากต้องอาศัยการรีดพลังงานกราฟิกการ์ดได้ตั้งแต่ 2 การ์ดขึ้นไป พร้อมฟีเจอร์ SLI หรือ CrossFire ก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกมได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้กราฟิกการ์ดในตลาดล่างและกลาง ล้วนแต่ถูกออกแบบให้ใช้ฟีเจอร์ดังกล่าวได้ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะซื้อหามาใช้งาน

พอร์ตสำหรับต่อพ่วงฮาร์ดดิสก์ หลายคนให้ความสำคัญอย่างมากในเรื่องของการจัดเก็บข้อมูล ดังนั้นแล้วการเลือกเมนบอร์ด ให้มีพอร์ตสำหรับรองรับฮาร์ดดิสก์ได้จำนวนมาก จะช่วยให้เกิดความสะดวกมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้เมนบอร์ดหลายรุ่น ยังเพิ่มเติมฟังก์ชันพิเศษ ให้ผู้ใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บข้อมูลได้ดีขึ้นด้วยคอนโทรลเลอร์สำหรับการต่อพ่วง RAID 0,1,0+1,5JBOD ที่มีประโยชน์ทั้งการจัดเก็บข้อมูล ความเร็วและระบบปลอดภัย และข้อสังเกตหนึ่งก็คือ ในปัจจุบันเมนบอร์ดส่วนใหญ่จะให้พอร์ตต่อ IDE มาเพียงช่องเดียว ดังนั้นมักจะเกิดปัญหากับผู้ที่อัพเกรดจากระบบเก่า ที่ส่วนใหญ่จะใช้ฮาร์ดดิสก์แบบ IDE ดังนั้นการเลือกเมนบอร์ดที่มีคอนโทรลเลอร์พิเศษที่เพิ่มพอร์ต IDE มาเพิ่มเติมให้ก็จะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้

PCI สล็อต หลายครั้งการที่เมนบอร์ดรุ่นใหม่ๆ ในตลาดติดตั้งสล็อต PCI มาให้น้อยลง กลายเป็นปัญหากับผู้ใช้ที่มีการ์ดต่อพ่วงจำนวนมาก ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีการติดตั้งระบบเสียและเน็ตเวิร์กจะถูกติดตั้งมาบนเมนบอร์ดอยู่แล้ว แต่ต้องไม่ลืมว่าหากเป็นการใช้งานระบบมัลติมีเดียหรือนำมาใช้ในการตัดต่อแล้ว จำเป็นต้องมีการ์ดต่อพ่วงที่เสริมเข้ามามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการ์ดตัดต่อ, การ์ดสำหรับ IEEE 1394/USB, การ์ดเสียง, ทีวีจูนเนอร์ ในบางครั้งมีการ์ด SCSII และการ์ดสำหรับการเพิ่มฮาร์ดดิสก์ หากมีสล็อต PCI เพียงสองสามช่องคงไม่เพียงพอ ดังนั้นแล้วหากจำเป็นต้องใช้งานในรูปแบบดังกล่าวควรเลือกเมนบอร์ดที่ให้มีสล็อต PCI มากขึ้น รวมไปถึงการมองรูปแบบอื่นที่เป็นทางเลือกมาเสริม เช่น USB หรือ IEEE1394

พอร์ต USB2.0, IEEE1394 นับเป็นพอร์ตที่สำคัญอย่างมากสำหรับผู้ที่มีอุปกรณ์ต่อพ่วงอยู่มากมายเนื่องจากในเวลานี้ อุปกรณ์ส่วนใหญ่มักใช้พอร์ต USB ในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ด้วยการถ่ายโอนข้อมูลที่รวดเร็วและใช้งานได้ง่าย สะดวก ไม่ว่าจะเป็นกล้องดิจิตอล เครื่องเล่นเอ็มพีสาม พรินเตอร์ สแกนเนอร์ การ์ดรีดเดอร์ ทีวีจูนเนอร์หรือแม้กระทั่งฮาร์ดดิสก์แบบภายนอก (External drive) ในบางครั้งการใช้งานที่บ้านหรือสำนักงานที่ไม่มีเครื่องส่วนกลาง คอมพิวเตอร์ส่วนตัวก็จะรับหน้าที่ในการต่อพ่วงอุปกรณ์ต่างๆ ไปโดยปริยาย ดังนั้นแล้วการเลือกเมนบอร์ดก็ควรจะให้มีพอร์ต USB ที่สามารถเพิ่มเติมจากมาตรฐานได้ ซึ่งดูได้จากพอร์ตต่อพ่วงในแบบ Expansion ที่ติดตั้งอยู่บนเมนบอร์ดนั่นเอง

ไบออสที่รองรับการปรับแต่ง สิ่งนี้อาจไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้ทั่วไป แต่สำหรับนักโอเวอร์คล็อกแล้วละก็ ไม่ควรมองข้ามทีเดียว เนื่องจากช่วยในการเร่งประสิทธิภาพซีพียูและอุปกรณ์อื่นๆ ได้อย่างมีเสถียรภาพ ดังนั้นแล้วการเลือกเมนบอร์ดที่มีไบออสรองรับการปรับแต่งได้ ก็จะช่วยให้การปรับแต่ง สัญญาณนาฬิกา แรงดันไฟ ระบบบัส ได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยสร้างเสถียรภาพของระบบได้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเตือนอุณหภูมิ การตั้งรอบพัดลม รวมไปถึงการปรับฟีเจอร์ต่างๆ ของซีพียู สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้ามไปได้ทีเดียว

ชุดระบายความร้อน ในอดีตการระบายความร้อนบนเมนบอร์ดอาศัยแรงลมจากพัดลมซีพียูเป็นหลัก แต่ปัจจุบันปัญหาจากความร้อนของบรรดาอุปกรณ์ต่างๆ ที่ติดตั้งบนเมนบอร์ด เริ่มมีมากขึ้น ส่งผลให้อายุการทำงานของชุดจ่ายไฟและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สั้นลง ดังนั้นแล้วผู้ผลิตหลายรายจึงให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าว ดังนั้นผู้ใช้ที่มักติดตั้งอุปกรณ์จำนวนมากไว้ภายในเครื่องหรือชอบการโอเวอร์คล็อกควรเลือกเมนบอร์ดที่มีชุดระบายความร้อนที่ดีกว่าปกติ เพื่อช่วยยืดอายุการใช้งานของเมนบอร์ด แม้ว่าอาจจะมีราคาสูงกว่าอยู่บ้าง แต่นับว่าคุ้มค่ากับการใช้งานที่ยาวนานขึ้น

คุณภาพของวัสดุและการออกแบบ
การออกแบบและวัสดุในการผลิต มีส่วนสำคัญอย่างมากกับการเลือกใช้เมนบอร์ด แม้ว่าจะเป็นไปได้ในการเข้าไปดูกระบวนการผลิตที่โรงงาน แต่ก็มีข้อสังเกตในหลายจุดที่ไปดูกระบวนการผลิตที่โรงงาน แต่ก็มีข้อสังเกตในหลายจุดที่ทำให้มั่นใจได้ ตั้งแต่เรื่องของแพ็กเกจของเมนบอร์ดที่ควรจะมีอุปกรณ์มาตรฐานเตรียมไว้ให้ไม่ว่าจะเป็น คู่มือ แผ่นไดร์เวอร์ ซอฟต์แวร์บันเดิล สายสัญญาณ รวมไปถึงชุดต่อพ่วงสัญญาณจากเมนบอร์ด ซึ่งควรจะมีรายละเอียดสำคัญของเมนบอร์ดอธิบายไว้ มีชุดระบายความร้อนให้กับชิปเซตหรือถ้าให้ดีก็ควรมีการระบายความร้อนให้กับภาคจ่ายไฟเพิ่มเติมเข้ามาด้วย และที่สำคัญคือ คุณภาพของคาปาซิเตอร์ที่ในปัจจุบันหลายค่ายเริ่มนำ Soild Capacitor ที่ทนต่อแรงดันไฟได้สูงมาใช้ ถึงแม้จะมีราคาที่แพงขึ้นอยู่บ้าง แต่ก็ให้ความคุ้มค่าในระยะยาวลดความเสี่ยงอันอาจเกิดกับอุปกรณ์ตัวอื่นที่ติดตั้งอยู่บนเมนบอร์ดในกรณีที่มีการลัดวงจรหรือระเบิดได้อีกด้วย

ราคาและการรับประกันเป็นอย่างไรบ้าง
เรื่องของการรับประกัน ให้สอบถามรายละเอียดกับผู้จำหน่ายโดยตรง โดยเฉพาะกับเงื่อนไขที่สำคัญต่างๆ เนื่องจากมีหลายครั้งที่ผู้บริโภคไม่เข้าใจกับกฎเกณฑ์ที่ผู้จำหน่ายตั้งขึ้น จนเกิดเป็นปัญหา ดังนั้นแล้วเมื่อซื้อเมนบอร์ดทุกครั้งให้สอบถามข้อสงสัยอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลา เงื่อนไขความเสียหาย เคลมเปลี่ยนหรือเคลมซ่อม รวมถึงการตรวจสอบ Void Warranty การประกันที่ติดอยู่บนเมนบอร์ดให้ถูกต้อง ในส่วนของระยะเวลา เดือนปีที่รับประกัน แต่ผู้จำหน่ายบางรายติดเพียง Serial number ให้ลูกค้าตรวจสอบได้เองผ่านเว็บไซต์ของตนหรือแม้กระทั่งเช็กสถานนะเมื่อส่งเคลมได้อีกด้วย
ส่วนเงื่อนไขหลักของการรับประกันที่ใช้กันอยู่ทั่วไปคือ ไม่แตกหัก ไหม้หรือรอยขูดขีดที่ลึกถึงส่วนของสายพรินต์ ซึ่งผู้ใช้ควรจะต้องรับทราบในเงื่อนไขเบื้องต้นไว้เพื่อการระมัดระวังขณะติดตั้ง

อ้างอิงข้อมูลจาก : http://www.bcoms.net/buycomputer/mainboard.asp